คำศัพท์สำคัญที่คนทำ SEO มือใหม่ต้องเข้าใจ

คำศัพท์สำคัญที่คนทำ SEO มือใหม่ต้องเข้าใจ

งานทุกสายล้วนมีคำศัพท์ทางเทคนิคมากมายที่สร้างความปวดหัว จนทำให้มือใหม่ที่เพิ่งก้าวเท้าเข้าสู่วงการเกิดความสับสน การทำ SEO ก็ไม่แตกต่างกัน เพราะมีคำศัพท์ใหม่ที่ต้องทำความเข้าใจอยู่หลายคำ เจ้าของแบรนด์ที่มีการจ้างงานเพื่อการทำการตลาดด้วย SEO อาจคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องเข้าใจ แต่ถ้ารู้ไว้จะสามารถสื่อสารกับผู้ดูแลเรื่องการทำ SEO ได้ดีขึ้น วันนี้เราได้ทำการสรุปคำศัพท์พื้นฐานที่มือใหม่ในวงการทำ SEO ต้องรู้มาอธิบายให้ฟัง

  1. SERP

คำนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นตัว โดยคำเต็มของ SERP คือ Search Engine Results Page ซึ่งหมายถึงผลลัพธ์การค้นหาที่ปรากฏขึ้นมาจากการเสิร์จของผู้ใช้บริการในโลกออนไลน์ ถ้าหากเว็บไซต์ที่เรากำลังพัฒนาติดบนหน้าแรกของ SERP หมายถึงลำดับการค้นหาที่สูงขึ้น และนำไปสู่โอกาสที่ผู้บริโภคจะตระหนักรู้ถึงสินค้าและบริการที่ธุรกิจต้องการขายได้มากขึ้น ดังนั้นทุกคนจึงมีเป้าหมายที่จะอยู่ด้านบนสุดของ SERP นั่นเอง

  1. Keyword

หมายถึงสิ่งที่ถูกนำมาใช้ในการเสิร์จหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตของผู้ที่ต้องการค้นหาสินค้าและบริการ ซึ่งอาจจะเป็นคำเดียวหรือมากกว่านั้น อาจจะเป็นกลุ่มคำ วลี หรือแม้แต่ประโยคคำถามก็สามารเป็นไปได้ ทำให้การคัดเลือก Keyword ที่น่าจะตรงใจกับการค้นหาของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ และสิ่งนี้จะถูกนำมาใช้บนหน้าเว็บไซต์เพื่อให้ปรากฏขึ้นบนผลการค้นหาหรือ SERP นั่นเอง

  1. Keyword Stuffing

คือการทำ SEO ที่ไม่เหมาะสมรูปแบบหนึ่ง โดยเป็นการยัดเยียด Keyword ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา เข้าไปในหน้าเพจเพื่อให้มีโอกาสติดอันดับบน SERP ได้มากขึ้น โดยมักจะมีการใช้คำซ้ำ ๆ วกไปวนมา แต่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งสิ่งนี้อาจทำให้โดนลงโทษจากระบบการตัดสินอับดับและทำให้เว็บไซต์หลุดออกจากผลการค้นหาไปเลยทีเดียว ดังนั้นไม่ควรใช้ Keyword Stuffing ในการทำ SEO โดยเด็ดขาด และควรเลือกใช้บริการผู้เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพจะทำให้การทำ SEO ดูเป็นมืออาชีพ

  1. On-page SEO

หมายถึงการสร้างเนื้อหาและการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ของตัวเอง โดยอาจมีการใส่ลิงก์จากหน้าโฮมเพจเข้าไปในส่วนของเนื้อหาต่าง ๆ โดยต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบและสามารถเข้าใจง่าย สะดวกสบายต่อการใช้งาน จึงจะส่งผลลัพธ์ที่ดีต่อการทำ SEO

  1. Off-page SEO และ Backlink

สิ่งนี้คือการเชื่อมโยงจากเนื้อหาภายนอกเว็บไซต์เข้ามายังเว็บธุรกิจ โดยอาจมาในรูปแบบของการรีวิว การแนะนำ การให้ความรู้ หรือการอ้างอิง โดยลิงก์ที่ถูกเชื่อมกลับมาที่เว็บไซต์จะถูกเรียนว่า Backlink จุดมุ่งหมายในการทำ SEO คือการสร้างลิงก์จากภายนอกที่มีคุณภาพ ในปริมาณที่มากพอ จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือและสามารถติดหน้าแรก ๆ ของอันดับการค้นหาได้อย่างง่ายดาย

ทุกคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำ SEO ใหม่ ๆ คงจะเข้าใจสิ่งทีมืออาชีพด้านนี้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้มากขึ้นจากคำศัพท์พื้นฐานที่เรานำมาแนะนำกันในวันนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับการทำงานของทุกคน แต่อย่าลืมว่ายังมีคำศัพท์อีกมาก แถมยังมีคำศัพท์ทางดิจิตอลใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอด ดังนั้นต้องหมั่นอัพเดทความรู้ จะได้เข้าใจการทำงานและการพัฒนาของวงการ SEO ได้ดีขึ้น

เปลี่ยนวิธีคิด สร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ด้วยการทำ SEO

เปลี่ยนวิธีคิด สร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ด้วยการทำ SEO

ช่องทางการทำธุรกิจในทุกวันนี้ก้าวกระโดดไปกว่าอดีตที่ผ่านมา ทั้งเจ้าของแบรนด์และนักลงทุนต่างก็มีการปรับตัวเพื่อให้สามารถยังไปต่อและเติบโตมากขึ้นได้ การทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ ทำแบรนด์ให้ปังมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น การทำ SEO ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ ซึ่งจะมีวิธีและแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้นตามไปดูกัน

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization พูดง่าย ๆ ก็คือการปรับแต่งเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของทางแบรนด์ที่จะทำให้เว็บไซต์นั้นสามารถค้นพบได้ง่ายมากขึ้น โดยไปติดอันดับเว็บไซต์ที่อยู่ในหน้าแรก ๆ ของการค้นหานั่นเอง ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวแต่จริง ๆ ทุกเว็บไซต์สามารถทำได้เพียงแต่ต้องมีวิธีการและแนวทางที่ถูกต้อง

  • เนื้อหาภายในเว็บไซต์จะต้องมีคีย์เวิร์ดที่ตอบโจทย์ โดยควรจะเป็นคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณคำค้นหาต่อเดือนที่สูง โดยเลือกคีย์เวิร์ดตามกลุ่มเป้าหมายที่สนใจ ซึ่งในส่วนนี้ก็จะต้องมีความสอดคล้องกับสินค้าและบริการที่ทางแบรนด์ต้องการนำเสนอด้วย โดยสามารถที่จะวิเคราะห์และศึกษาถึง ความสนใจ ความชอบ ปัญหา ความวิตกกังวลและรูปแบบภาษาที่ทางกลุ่มเป้าหมายมักจะเลือกใช้ ก็จะทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลออกมาได้อย่างตรงจุดและมีความละเอียดขึ้น
  • ให้ความสำคัญในเรื่อง mobile friendly ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของเว็บไซต์ ก็ควรที่จะมีหน้าเว็บไซต์ที่มีการใช้งานง่ายสำหรับการเข้าสู่เว็บไซต์ผ่านโทรศัพท์มือถือ เนื่องด้วยในปัจจุบันมีการใช้งานโทรศัพท์มือถือเพิ่มมากขึ้น ทาง google ก็เห็นความสำคัญในส่วนนี้เช่นกัน ซึ่งจะมีการจัดอันดับและการจัดทำดัชนีสำหรับโทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่ด้วย เจ้าของเว็บไซต์ที่ตั้งใจสร้างเนื้อหาที่ดีและมีประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง ถ้ามีการเสริมตรงส่วนนี้เข้าไปก็จะทำให้มีโอกาสในการติดอันดับเว็บไซต์ต้น ๆ ในหน้าการค้นหามากยิ่งขึ้น 
  • อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามนั่นก็คือเมื่อกดคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์แล้ว ความเร็วและประสิทธิภาพการดาวน์โหลดตอบโจทย์ผู้เข้าชมหรือไม่ โดยความเร็วในการดาวน์โหลดเว็บไซต์ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการทำ SEO อย่างมากทีเดียว
  • และในส่วนของเนื้อหาที่นำไปลงในเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นบทความสั้นหรือบทความยาวควรที่จะเป็นเนื้อหาที่สดใหม่ ไม่ได้ไปลอกเลียนแบบมาจากเว็บไซต์อื่น ๆ ควรที่จะมีสไตล์เป็นของตนเอง แสดงออกได้ถึงการเป็นเจ้าของเนื้อหาอย่างแท้จริง

จากรายละเอียดเนื้อหาเกี่ยวกับ SEO ข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่ารูปแบบขั้นตอนและเทคนิควิธีการทำ SEO มีด้วยกันหลากหลายส่วน ถ้าจะเน้นที่จะโฟกัสที่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งก็คงไม่สามารถทำให้การทำ SEO ประสิทธิภาพอย่างที่ตั้งใจได้ ซึ่งถ้าทางเจ้าของเว็บไซต์มีความสนใจก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม

คอนเทนต์ SEO ต่างจากคอนเทนต์ทั่วไปยังไงบ้าง

คอนเทนต์ SEO ต่างจากคอนเทนต์ทั่วไปยังไงบ้าง

หลายคนที่กำลังทำ SEO อาจจะคิดว่าบทความที่ใช้ในการทำ SEO เป็นแค่บทความธรรมดา เขียนให้เข้าใจง่าย น่าอ่านและถูกต้องคงเพียงพอแล้ว แต่จริง ๆ การทำบทความสำหรับ SEO ไม่ได้เขียนเพื่อให้ผู้อ่านบนโลกออนไลน์ถูกใจเท่านั้น แต่ต้องเน้นไปที่หลักการที่ใช่สำหรับอัลกอริทึมของ Google ด้วย ดังนั้นบทความทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันอยู่แน่นอน ซึ่งบทความของ SEO มีเทคนิคในการเขียนให้ประสบความสำเร็จอยู่ดังนี้

  1. เลือกคีย์เวิร์ดอย่างชาญฉลาด

การเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับบทความใน SEO ไม่สามารถเลือกแบบสุ่มได้ แต่ต้องเลือกคำที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ที่มีปริมาณในการเสิร์จอยู่ในระดับดี สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังสามารถพิจารณาการลดคู่แข่ง ด้วยการใช้คีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงหรือระบุตำแหน่งได้ ซึ่งการเลือกคำที่ใช้ต้องมีการทำรีเสิร์จอย่างจริงจังจึงจะประสบความสำเร็จ

  1. ใส่ใจกับตำแหน่งในการใส่คีย์เวิร์ด

ตำแหน่งของการวางคีย์เวิร์ดในบทความต้องมีการกระจายตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ยัดเยียดหรือใส่ไปแบบไร้ความหมาย เพราะอาจจะถูกแบนจาก Google ได้เลยทีเดียว นอกจากนั้นยังต้องใส่ใจในการใส่คีย์เวิร์ดในส่วนต่าง ๆ ของเพจเช่น ในชื่อของบทความ หัวข้อเรื่อง URL และ Meta Description ของเพจ เพราะตำแหน่งทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อการพิจารณาลำดับของการปรากฏของเว็บไซต์บนผลการค้นหา

  1. ความยาวที่ใช่สำหรับ SEO

บทความที่ดีสำหรับ SEO ไม่ควรสั้นหรือยาวเกินไป เพราะสั้นเกินไป จะไม่สามารถสามารถครอบคลุมคีย์เวิร์ดได้ในความถี่ที่เหมาะสม และยิ่งเนื้อหายาวจะยิ่งมีข้อมูลมากพอที่ Google จะตรวจสอบว่าเนื้อหามีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดจริงหรือไม่ แต่ไม่ควรยาวเกินไปเพราะจะจับใจความได้ยากสำหรับผู้อ่านเช่นกัน ซึ่งความยาวที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 500-100 คำ 

  1. ใส่ข้อมูลรูปภาพให้ Google เข้าใจ

การนำภาพมาใส่ประกอบบทความสามารถใช้ดันอันดับ SEO ได้ดีเช่นกัน แต่การเลือกภาพไม่ใช่จะเลือกจากความสวยงามเท่านั้น เพราะ Google ไม่สามารถมองเห็นภาพได้เหมือนมนุษย์ ลักษณะภาพที่ดีคือมาจากแหล่งที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ และต้องมีการใส่คีย์เวิร์ดในชื่อกับ alt text ของรูปภาพด้วย เพื่อบอกให้ซอฟต์แวร์รู้ว่าภาพที่นำมาประกอบคืออะไรและเกี่ยวข้องกับบทความอย่างไรบ้าง

  1. หมั่นอัปเดตคอนเทนต์เสมอ

บทความทั่วไปหลังจากเผยแพร่ไปแล้วอาจจะไม่จำเป็นต้องกลับมาแก้ไขหรือปรับปรุงบ่อยเท่าบทความ SEO เพราะ SEO มีการพิจารณาเรื่องปริมาณการเข้าถึงบทความและความสดใหม่ของเนื้อหาด้วย ดังนั้นต้องมีการปรับปรุงให้ตอบโจทย์ของ SEO อย่างสม่ำเสมอ

เมื่อรู้ดังนี้แล้วนักเขียนที่เคยเขียนบทความทั่วไปที่ต้องการเริ่มทำงานในตลาดของ SEO หรือผู้ที่สนใจเรื่องวิธีการเขียนบทความ SEO ให้ตอบโจทย์ที่ Google ถูกใจ สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ได้เลย เมื่อเข้าใจวิธีการสร้างคอนเทนต์ได้อย่างเหมาะสม จะมีโอกาสดันอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน

Yoast SEO คืออะไร ทำไมคนทำการตลาดออนไลน์ถึงควรรู้

Yoast SEO คือ เครื่องมือยอดนิยมใน WordPress ที่ช่วยในการปรับแต่ง SEO ให้มีความเหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานตามหลักของ google ได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด โดยเฉพาะคนที่ต้องการทำการตลอดออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ด้วยบทความ จำเป็นที่จะต้องติดตั้งปลั๊กอินที่ชื่อว่า Yoast นี้ เพื่อช่วยในการตรวจสอบคำหรือบทความให้ถูกต้องตามหลัก SEO On-Page เนื่อง Yoast เป็นตัวช่วยในการปรับแต่ง แก้ไข ให้บทความในเว็บไซต์ ให้สมบูรณ์ ถูกต้องตามหลักการค้นหาของ google 

ประโยชน์ของ Yoast SEO ที่มีต่อเว็บไซต์

Yoast เป็นเครื่องมือที่ฟรีและเป็นมิตรกับ google เอามาก ๆ จึงเป็นที่นิยมสำหรับคนที่ทำเว็บไซต์ด้วยโปรแกรม WordPress โดยเฉพาะมือใหม่ด้วยฟีเจอร์ที่คอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับใช้คำหรือข้อความให้ถูกหลัก SEO โดยจะแสดงออกมาในรูปของสีบนตัวอักษร

  • สีเขียว หมายถึง ผ่าน, ทำได้ดี มีความสมบูรณ์มากที่สุด ถูกต้องตามหลัก SEO 
  • สีส้ม หมายถึง ดีแต่ยังไม่สมบูรณ์ ควรทำการปรับปรุงแก้ไข 
  • สีแดง หมายถึง ไม่ผ่าน ต้องแก้ไขโดยด่วน 

ช่วยเลือกคีย์เวิร์ด

นอกจากจะช่วยในเรื่องของการตรวจสอบความสมบูรณ์ ของบทความตามหลัก SEO แล้ว ยังช่วยเลือก Keyword ที่เหมาะสมสำหรับบทความของคุณอีกด้วย 

ช่วยวิเคราะห์และปรับแต่งเว็บไซต์

Yoast SEO ยังมีฟีเจอร์เด่น ๆ ในเรื่องของการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมและถูกต้องตามหลักของ SEO ด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างเว็บไซต์ ดังนี้ 

  • ในส่วนของ Meta Description คือคำอธิบาย เนื้อหาของเว็บไซต์ โดยจะอยู่ในส่วนของ Head โดยข้อความของ Meta Description จะแสดงในหน้าค้นหาของ Search Engine ซึ่ง Yoast จะทำหน้าที่ในการกำหนดความยาวที่เหมาะสมหรือการโฟกัสในส่วนของ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด 
  • XML Sitemaps คือ แผนผังเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ในการนำทางให้ Bot ของ SEO เข้าใจถึงโครงสร้างของเว็บไซต์ คล้ายเป็นไกด์หรือสารบัญให้ Bot ได้ตรวจสอบ เพื่อให้เข้าใจเว็บไซต์ที่ทำมากยิ่งขึ้น หากตรวจพบถึงโครงสร้างที่ไม่เหมาะสมจะทำการแจ้งให้ปรับปรุง แก้ไข เช่น การเชื่อมต่อภายใน, การเชื่อมต่อภายนอก เป็นต้น
  • Canonical URLs คือ URLs ที่มีการเข้าถึงซ้ำ ๆ กันหลาย address หรือมีเนื้อหาที่ซ้ำกัน เช่น hppts://about.com กับ http://aboutus.com จาก URL ดังกล่าวเป็นไปได้ว่าหน้าเพจที่ลิงก์ไปอาจซ้ำกันหรือมีหน้าตาที่เหมือนกัน ซึ่ง Canonical URLs นี้จะช่วยแก้ไขเมื่อพบว่าเนื้อหาของเพจซ้ำกัน ควรได้รับการตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไขและ Canonical URLs ยังช่วยบอก Bot ของ google ว่าเว็บไซต์ดังกล่าวให้ความสำคัญกับเพจหน้าไหนมากที่สุด

สำหรับใครที่มีความสนใจจะทำเว็บไซต์เพื่อการตลาดให้ถูกต้องตามกฎ SEO อย่าลืมที่จะโหลดปลั๊กอิน Yoast มาใช้ โดยเฉพาะมือใหม่ เพื่อที่จะได้เป็นแนวทางในการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาของ google ได้อย่างถูกต้อง เช่นเดียวกันกับการทำเว็บไซต์กีฬาออนไลน์ ทำยังไงให้คำค้นหาของเราติดหน้าแรกของ google อย่างเช่นคำค้นหา ผลบอลสด เป็นต้น แต่อย่าลืมว่า Yoast เป็นเครื่องมือที่ช่วยปรับปรุง แก้ไขเว็บไซต์ให้ถูกต้องตามหลัก SEO มิใช่เครื่องมือที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ 


อยากทำธุรกิจออนไลน์สำเร็จ ต้องรู้ความสำคัญของการโปรโมทด้วย SEO

อยากทำธุรกิจออนไลน์สำเร็จ ต้องรู้ความสำคัญของการโปรโมทด้วย SEO

การเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ใครก็สามารถมีเพจหรือเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นต้องอาศัยหลายปัจจัย อย่างการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักต้องทำการตลาด โปรโมท แต่หากใครที่พึ่งเริ่มต้นยังไม่พร้อมเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้ เรามีทางเลือกมาเสนอ นั้นคือการเลือกใช้ SEO (Search Engine Optimization) คือ การโปรโมทที่ต้องอาศัยเนื้อหาที่เกี่ยวกับสินค้าของแบรนด์ โดยเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาบ่อยที่สุดในกูเกิ้ลมาประกอบ จึงจะทำให้มีคนเข้ามาในเว็บมากขึ้น หากวันนี้ใครที่กำลังจะเริ่มต้นทำธุรกิจลองไปดูความสำคัญของ SEO กับธุรกิจออนไลน์ว่าเชื่อมโยงกันอย่างไร

เริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ต้องรู้ ความสำคัญของ SEO

1.เว็บไซต์จะเป็นที่รู้จักง่ายขึ้น

การที่เว็บของคุณจะขึ้นอันดับในการค้นหาในกูเกิ้ลได้นั้นขึ้นอยู่ที่การเลือกใช้คีย์เวิร์ด โดยอาศัยโปรแกรมรวมคีย์เวิร์ดต่าง ๆ พร้อมดูอันดับการค้นหาว่า คำใดมีจำนวนผู้ค้นหามากที่สุด เมื่อเลือกนำมาใช้ประกอบในเนื้อหา ไม่นานเว็บของคุณต้องเป็นที่รู้จักอย่างแน่นอน

2. ธุรกิจของคุณจะเติบโตไวแซงหน้าคู่แข่ง

แม้ว่าเรื่องอันดับของเว็บจะสำคัญอย่างมากในการที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้ไว แต่ก็ไม่ควรมองข้ามในเรื่องของเนื้อหาที่มีคุณภาพ แนะนำสินค้าด้วยความสัจจริงและให้ความรู้แก่ผู้บริโภคอย่างครบถ้วน หากเป็นเช่นนั้นจะส่งผลให้สินค้าของคุณมีความน่าเชื่อถือ เป็นการสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคอย่างหนึ่งและธุรกิจจะเติบโตแซงหน้าคู่แข่งไปอย่างยั่งยืนนั่นเอง

3. SEO สร้างการจดจำให้แก่แบรนด์

สิ่งแรกที่จะบอกได้ว่าแบรนด์ของคุณนั้นเป็นที่จดจำมากน้อยแค่ไหน ต้องดูที่จำนวนผู้ที่เข้าเว็บไซต์หรือการค้นหาแบรนด์นั้น ๆ แน่นอนว่าต้องขึ้นอยู่กับการนำเสนอเนื้อหาที่ใช้ SEO เป็นตัวชักนำ พร้อมกับการออกแบบดีไซน์ให้สวยงาม เข้ากับแบรนด์ เพื่อสร้างความน่าสนใจ

4. ประหยัดค่าโปรโมทเว็บไซต์และสินค้า

อย่างที่ทราบกันว่า SEO เป็นการโปรโมทที่ใช้ต้นทุนต่ำที่สุด เพียงแค่แบรนด์นำเสนอเนื้อหาสินค้าพร้อมให้ความรู้โดยการใช้คำที่ค้นหาบ่อยที่สุดในกูเกิ้ลมาประกอบในเนื้อหาเท่านั้น

แม้ว่าสินค้าของคุณจะมีคุณภาพดีแค่ไหน หากขาดการทำการตลาดและใช้ SEO ธุรกิจก็ไม่อาจเติบโตได้ทันคู่แข่ง ฉะนั้นจึงบอกได้แล้วว่า SEO คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตามนอกจากสินค้าจะมีประสิทธิภาพแล้ว เนื้อหาที่นำเสนอออกไปก็ต้องให้ความรู้อย่างครบถ้วน เพื่อเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้บริโภค นำไปสู่การเพิ่มจำนวนผู้ที่มาเข้าชมเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง

ยกระดับคอนเทนต์ SEO ให้น่าสนใจด้วยการปรับเนื้อหาและการใช้ภาพ

ยกระดับคอนเทนต์ SEO ให้น่าสนใจด้วยการปรับเนื้อหาและการใช้ภาพ

เพราะการทำ SEO สำหรับธุรกิจออนไลน์ ไม่ได้มีแค่การใช้คำหลักหรือ Keyword ใส่ลงไปในคอนเทนต์เนื้อหาที่นำเสนอให้กับลูกค้าเท่านั้น ถ้าอยากให้ธุรกิจเอาชนะคู่แข่งและแซงขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งใน Search Engine ที่ลูกค้าใช้ได้ มันก็จะต้องมีการปรับกลยุทธ์เพื่อยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำ SEO ของธุรกิจด้วย

ปรับเนื้อหาจากการเล่าประโยชน์เป็นการตั้งคำถาม

หลายธุรกิจมักจะมีการเลือกทำ SEO โดยนิยมใช้คอนเทนต์แบบการนำเสนอประโยชน์ ข้อดี และสิ่งที่จะเข้ามาเป็น Solution ให้กับลูกค้าได้ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ถ้าไม่อยากให้คอนเทนต์จำเจ เราต้องแทรกคอนเทนต์แบบการถาม-ตอบ เข้ามาเพื่อดึงดูดความสนใจและสร้าง Traffic ด้วย

คอนเทนต์แบบจัดอันดับ FAQ หนึ่งรูปแบบของคอนเทนต์ SEO ที่ได้รับความนิยมก็คือการจัดอันดับคำถามที่หลายคนชอบสงสัย ทั้งในตัวสินค้า หรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของธุรกิจ เป็นคำถามที่ลูกค้ามักจะถามซ้ำ ๆ อยู่บ่อยครั้ง ถ้ามีข้อมูลให้ลองเอามาจัดอันดับและนำเสนอแบบ SEO ได้เลย

ใส่คำหลักลงไปในคำตอบ การสร้างคอนเทนต์แบบ FAQ ให้ลงตัว อ่านง่าย และดูเป็นธรรมชาติ และต้องทำให้เป็น SEO ด้วย ตรงนี้ให้เราใส่คำหลัก (Keyword) ลงไปในคำตอบทุก ๆ ข้อ แนะนำว่าอย่ายัดคำหลักเยอะเกินไป ให้แบ่งใช้คำหลัก คำรอง สลับกัน เพื่อให้คอนเทนต์สามารถดึงลูกค้าเข้ามาหน้าเว็บไซต์ได้

เลือกใช้ภาพกับคอนเทนต์ให้ลงตัว

เดี๋ยวนี้ Google ได้มีการพัฒนาความสามารถในการจัดอันดับโดยดูถึงรูปภาพและรายละเอียด มากกว่าแค่การนับจำนวนคำหลักแล้ว นั่นหมายความว่าทุก ๆ คอนเทนต์ที่ทำ SEO ควรมีการนำรูปภาพที่เหมาะสมมาใส่และเลือกให้ลงตัวเพื่อให้เกิดความน่าสนใจและส่งผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์

ขนาดของภาพและดีไซน์ที่เหมาะสม เพราะการจัดอันดับหน้าเว็บไซต์จะมีการวัดคะแนน Page Speed ถ้าขนาดของภาพในคอนเทนต์มีความเหมาะสม ไม่ใหญ่เกินไป โหลดได้ไว เว็บไซต์ก็จะได้คะแนนดีในข้อนี้ รวมไปถึงดีไซน์ของภาพที่ควรจะเข้ากันกับเนื้อหาเพื่อให้ลูกค้ามองภาพแล้วเข้าใจได้ทันที

คำอธิบายและการใช้งานในหลายแพลตฟอร์ม สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมเด็ดขาดก็คือการสร้างคำอธิบายเอาไว้ท้ายภาพเพื่อให้ลูกค้าและระบบเข้าใจได้ว่าภาพนั้นคือภาพอะไร แสดงถึงอะไร และในทุก ๆ ภาพที่ใช้ควรมีการถูกทดสอบการแสดงผลในแพลตฟอร์ม เช่น ใน PC, Tablet, หรือ Smart Phone ที่หลากหลายว่ามีการแสดงผลชัดเจนหรือไม่ โหลดไวแค่ไหนด้วย

ด้วยกลยุทธ์ที่ทำให้การทำ SEO ของธุรกิจมีความน่าสนใจและล้ำกว่าคู่แข่งจะเกิดเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดออนไลน์ ที่เป็นอาวุธสำคัญที่ธุรกิจ E-Commerce จะสามารถใช้เป็นอาวุธนำทางธุรกิจไปสู่ความสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้

ถอดกลยุทธ์ที่ทำให้คลิปกลายเป็นไวรัลบน TikTok

ถอดกลยุทธ์ที่ทำให้คลิปกลายเป็นไวรัลบน TikTok

TikTok แอปพลิเคชั่นที่ออกแบบมาเพื่อให้คนทั่วไปสามารถสร้างตัวตนด้วยคลิปสั้นและกลายเป็นที่รู้จักได้ง่าย ๆ แต่ถึงจะง่ายก็ไม่ใช่ใครที่สามารถปั่นคลิปให้เป็นกระแสได้หากคลิปนั้นไม่มีคนดู ในปี ค.ศ. 2022 Tik Tok มีการอัปเดต Algorithm ให้สามารถเลือกสรรคลิปวิดีโอให้ตอบโจทย์ต่อความต้องการของ User มากยิ่งขึ้นและเริ่มพัฒนาให้แอปกลายเป็น Search Engine ที่แสดงผลการค้นหาเป็นวิดีโอ โดยกลยุทธ์ที่ช่วยให้คลิปของคุณกลายเป็นไวรัล มีเทคนิคดังนี้

ใส่คำค้นหา (Keyword) ลงในคำอธิบายคลิป ความแตกต่างระหว่างการโพสต์คลิปวิดีโอลง YouTube กับ Tik Tok คือ ในแอปพลิเคชั่น YouTube จะมีช่องให้เราสามารถตั้งชื่อคลิปวิดีโอแต่ใน Tik Tok จะไม่มีฟังก์ชันนี้ ทำให้เราต้องนำ Keyword ใส่ลงในคำอธิบายแทน

Tip: วิธีการเลือก Keyword สำหรับใส่ลงในคลิปสามารถค้นหาได้จาก Keyword suggestion ในช่องค้นหาและเลือกคำที่มีความเกี่ยวข้องกับคลิปมาใส่ลงไป

อย่าลืมใส่ Hash tag ลงในคำอธิบาย ลักษณะการเขียนคำอธิบายคลิปใน Tik Tok จะมีความคล้ายกับแอพพลิเคชั่น Twitter โดย Hash tag ที่ควรใส่ลงไปจะต้องเป็น Hash tag กระแส เพราะ Algorithm Tik Tok จะดึงเอาคลิปที่ใส่ Hash tag กระแสแสดงผลให้กับ Users ก่อนเสมอ

Tip: หากเปิด Tik Tok ในคอมพิวเตอร์ Hash tag กระแสจะอยู่บริเวณซ้ายมือล่าง แต่หากเปิดแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน Hash tag กระแสสามารถดูได้จากการเข้าช่องค้นหาในแอปและเลื่อนลงมาด้านล่างสุดจะมี Hash tag กระแสแนะนำอยู่

ใส่เพลงฮิตลงไปเพื่อความปัง เพลงฮิต Tik Tok เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่ขาดไม่ได้ในการทำคลิปวิดีโอเพื่อสร้างไวรัล

Tip: วิธีค้นหาเพลงฮิตสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีเดียวกับการหา Hash tag กระแส

โพสต์คลิปวิดีโอสม่ำเสมอ การโพสต์คลิปวิดีโออย่างสม่ำเสมอเปรียบเสมือนการกระตุ้นการทำงานของ Algorithm Tik Tok นอกจากนี้การทำคลิปที่มีความยาวประมาณ 1 นาทีจะช่วยให้คลิปมีโอกาสเป็นไวรัลมากกว่า

Tip: หากเป็นไปได้ควรโพสต์คลิปอย่างน้อยวันละ 3 – 6 คลิปเป็นประจำทุกวัน โดยอาจแบ่งเป็นช่วงเวลาเช้า กลางวันและเย็น ที่สำคัญต้องโพสต์เวลาเดิมทุกครั้งจะดีมาก

มีส่วนร่วมกับคลิปของคนอื่น การมีส่วนร่วมกับคลิปของคนอื่นเป็นสิ่งที่จะช่วยในการกระตุ้นให้คลิปวิดีโอของเรากลายเป็นไวรัลได้ เนื่องจาก Algorithm Tik Tok จะมองว่าเราต้องการที่จะใช้งาน Tik Tok จริง ๆ ไม่ได้ใช้แอปพลิเคชั่นเอาไว้ฆ่าเวลาเท่านั้น

Tip: 1. ดูคลิปให้จบ 2. กดหัวใจ 3. คอมเมนต์ และหากมีเวลาการเข้าชม live Tik Tok ในสิ่งที่เรากำลังให้ความสนใจและคอมเมนต์พูดคุย มีส่วนร่วมเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มผู้ติดตามได้

หากต้องการสร้างตัวตนใน Tik Tok และทำให้คลิปเป็นไวรัล 5 กลยุทธ์ที่แนะนำข้างบนจะทำให้คลิปกลายเป็นไวรัลบน TikTok ได้

Buyer Journey Keyword

อัปเดตเทรนด์ เหตุใดคีย์เวิร์ดยังมีความสำคัญ..

หลักการทำ SEO ปรับเปลี่ยนไปตามยุคใหม่ แต่เหตุผลที่คีย์เวิร์ดยังคงมีความสำคัญต่อเนื้อหาบทความเนื่องจากคำหลักตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค คีย์เวิร์ดที่ดีช่วยให้ผู้บริโภคค้นหาสิ่งที่ต้องการเจอและช่วยให้ร้านค้าเพิ่มยอดขายให้พุ่งขึ้น หากต้องการติดอันดับในเสิร์ชเอนจินต่อไปควรทำการอัปเดตคีย์เวิร์ดใหม่ ๆ นำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการเสิร์ชหาบนโลกอินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ

การอัปเดตคีย์เวิร์ดด้วยการทำ Keyword Research เพื่อเดาว่าลูกค้าเป้าหมายใช้คีย์เวิร์ดอะไรในการค้นหาสินค้าหรือบริการเพื่อให้ได้คีย์เวิร์ดที่หลากหลายขึ้น นำมาสร้างเนื้อหาบทความที่มีคุณภาพและน่าอ่านเพื่อลงในเว็บไซต์ หลังจากนั้นเช็คปริมาณการเสิร์จว่ามีคนเข้ามาในเว็บไซต์มากน้อยเท่าไร แม้จะยังฟันธงไม่ได้ว่าการอัปเดตคีย์เวิร์ดช่วยให้ทำเงินได้มากน้อยอย่างไร แต่การที่ลูกค้าเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์มากขึ้นเท่ากับทำให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น และมีโอกาสปิดการขายเพิ่มขึ้นด้วย

นอกเหนือจากการเดาใจลูกค้าว่าต้องการอะไรแล้ว ผู้ทำเว็บไซต์ยังต้องใช้คีย์เวิร์ดอื่น ๆ เพื่อผลักดันการเสิร์จหามากขึ้น

Commercial Intent Keyword เป็นคำค้นที่เกี่ยวกับสินค้าและบริการอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการหาข้อมูลรายละเอียดของสินค้าโดยเฉพาะ เช่น ชื่อสินค้า รุ่น ยี่ห้อ และรีวิวสินค้า นอกจากนี้ยังมีคีย์เวิร์ดที่กระตุ้นให้ลูกค้าเป้าหมายตั้งใจค้นหาเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการในทันที เช่น ซื้อ จอง ขาย เช่า หรือพร้อมส่ง

Question Keyword เป็นคีย์เวิร์ดเชิงคำถามที่เน้นค้นหาคำถามพื้นฐานที่ลูกค้าเป้าหมายสนใจอยากรู้ข้อมูลเชิงลึงแบบจริงจังเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจริง ๆ เช่น คืออะไร ทำอย่างไร ใช้ดีไหม เหมาะกับการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดแบบยาวเป็นกรุ๊ปหลายคำ

Niche long-tail Keyword การหาคีย์เวิร์ดเฉพาะเจาะจง เช่น รองเท้ากีฬาผู้หญิง หรือผักออแกนิกปลอดสารพิษ ทำให้ทราบว่าลูกค้าเป้าหมายต้องการข้อมูลลักษณะไหน ต้องใช้คีย์เวิร์ดอะไรและนำเสนอเนื้อหาแบบไหนเพื่อให้ขายสินค้าหรือบริการได้

Buyer Journey Keyword เป็นคีย์เวิร์ดที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกค้า เช่น อยากรู้ กำลังสนใจ เลือกซื้อ หรือมีข้อสงสัย การหาคีย์เวิร์ดที่ดีทำให้รู้ความต้องการแน่ชัดของลูกค้าและเพิ่มปริมาณคนค้นหามาก มีความได้เปรียบคู่แข่งส่งผลให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีขึ้น

หากไม่มีการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดแล้ว เว็บไซต์ส่วนใหญ่มักจะใช้คำค้นหาสินค้ากว้างๆ เช่น เสื้อกีฬา รองเท้าผู้หญิง ซึ่งเป็นเป็นคำไม่เฉพาะเจาะจงที่เว็บไซต์ไหน ๆ ก็ใช้กัน แม้จะมีปริมาณค้นหาสูงแต่คู่แข่งจำนวนมากจึงทำการตลาดยาและไม่ใช่คีย์เวิร์ดที่ทำเงินได้ แต่ถ้าใช้คีย์เวิร์ดตามคำแนะนำข้างต้นที่มีข้อมูลที่ระบุถึงสินค้าเฉพาะเจาะจง ทำให้มีโอกาสเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการซื้อจริง ๆ ยกตัวอย่างเช่น การรีวิวที่พักริมทะเล ใช้คำว่ารีสอร์ตเกาะพีพี ดำน้ำ ดูปะการัง เพิ่มคำว่า ราคาถูก เป็นค้นคำที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เท่ากับว่าคีย์เวิร์ดคือสะพานเชื่อมต่อกับความต้องการของลูกค้าทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้นได้นั่นเอง

เพิ่มยอดขายปังด้วยสูตรพลังหาลูกค้าในตลาด SEO

เพิ่มยอดขายปังด้วยสูตรพลังหาลูกค้าในตลาด SEO

ในยุคสังคมการสื่อสารดิจิทัลที่ไม่ว่าธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ก็ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดออนไลน์ เนื่องจากเป็นช่องทางที่ใช้ในการเผยแพร่ข้อมูล ใช้ในการทำกลยุทธ์และทำการตลาดได้โดยใช้ต้นทุนที่ต่ำ และหากมีการวางกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้ได้ผลลัพธ์จากการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์อย่างคุ้มค่า

หนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้รับความนิยมและถูกหยิบนำมาใช้ในการทำการตลาดออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันคือการทำ Content Marketing ที่มีข้อดีในด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น

  1. ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
  2. สร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กรและธุรกิจ
  3. สร้างการรับรู้ในสินค้าและแบรนด์
  4. ช่วยเพิ่มลูกค้าใหม่และช่วยเพิ่มยอดขาย
  5. ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
  6. เพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์หรือแฟนเพจ

หากพูดถึง ก็จะมีอีกคำหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นรูปแบบของการเพิ่มยอดคนเข้าไปในเว็บไซต์หรือช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ขององค์กรหรือธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีข้อดีสำคัญที่ทุกองค์กรและธุรกิจมีการตั้งเป้าหมายในการทำ SEO ไว้ ก็คือการที่เว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียของตนเองขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดใด ๆ ในเว็บไซต์ Google

หลักการทั่วไปในการทำ SEO เช่น

  1. มีการใช้ Domain name ของเว็บไซต์ตนเอง
  2. ออกแบบเว็บไซต์ให้ User friendly มีการใช้งานง่าย
  3. มีการอัปเดตข้อมูลและเนื้อหาอยู่เสมอ
  4. มีเว็บไซต์หรือช่องทางภายนอกแปะลิงก์เว็บเราเป็น Reference link
  5. มีการวางแผนในการทำคีย์เวิร์ดในบทความที่ดี

พูดถึงข้อดีของการทำ SEO มามากมายแล้ว สำหรับข้อเสียของการทำ SEO ก็มีเช่นกัน โดยข้อเสียของการทำ SEO คือ เป็นรูปแบบที่ต้องใช้ความพยายาม ใช้เวลาทำนาน และทำได้ยาก บางเว็บใช้เวลาหลายเดือนหรืออาจจะเป็นปีเลยกว่าจะเห็นผล แต่ก็แลกมาด้วยผลลัพธ์ที่มีความยั่งยืน

สำหรับแฝดคนละฝาอีกเทคนิคหนึ่งที่มาคู่กับ SEO ก็คือ SEM หรือ Search Engine Marketing เป็นการทำการตลาดออนไลน์ โดยใช้วิธีการซื้อโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับแรก ๆ หากค้นหาในเว็บไซต์ Google ด้วยคีย์เวิร์ดใด ๆ โดยจะเสียเงินทุกครั้งเมื่อมีคนคลิกเข้ามาจากคีย์เวิร์ดที่เรากำหนดในการลงโฆษณาไว้ ความแตกต่างระหว่าง SEO กับ SEM ที่เห็นได้ชัดเลย คือ

SEO : สร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรและเว็บไซต์ ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการทำ แต่ใช้เวลานานและใช้ขั้นตอนในการทำที่มากกว่า

SEM : ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน เห็นผลได้เร็ว แต่เสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาที่ค่อนข้างสูงและไม่ยั่งยืน

ไม่ควรมองข้าม Negative Keyword ในการลงโฆษณา

ระหว่างการทำ SEO นั้น ก็สามารถโปรโมทให้คนเข้าเว็บไซต์ได้มากขึ้น ด้วย เพียงมีงบประมาณส่วนหนึ่งก็สามารถลงโฆษณากับ Google Ads หรือโปรแกรมโฆษณาอื่นที่เป็นลักษณะเดียวกันได้ ซึ่งจะมีการให้ตั้งค่าเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดที่ต้องการ และยังสามารถกำหนดคีย์เวิร์ดเชิงลบ (Negative Keyword) ได้ด้วย ซึ่งคีย์เวิร์ดเชิงลบคือ คำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ ซึ่งการใส่คีย์เวิร์ดเชิงลบลงไปในโฆษณาจะช่วยให้การแสดงผลตรงตามความต้องการของเป้าหมายในการทำโฆษณามากขึ้น โดยวิธีการเลือกคีย์เวิร์ดเชิงลบควรเลือกจากข้อความที่มีความคล้ายคลึงแต่ไม่ใช่คำที่ต้องการ เช่น ต้องการยิงโฆษณาถุงเท้าเด็ก ก็ควรตั้งค่าคำค้นหาเชิงลบด้วยคำว่า ถุงเท้าทำงาน ไปด้วย เป็นต้น

เหตุผลที่ไม่ควรมองข้าม negative keyword

  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา (Ads) การใส่คีย์เวิร์ดเชิงลบ หรือคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องลงในแคมเปญ จะช่วยให้การยิงโฆษณามีความแม่นยำมากขึ้น
  • ลดค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา เนื่องจากการจำกัดขอบเขตของกลุ่มเป้าหมายแคบลงและมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นจึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแสดงผลโฆษณาได้มากขึ้น
  • ช่วยปิดกั้นการค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง เมื่อมีการจำกัดกลุ่มเป้าหมายที่มีความเฉพาะเจาะจงด้วยการตั้งค่าคีย์เวิร์ดเชิงลบ จะทำให้โฆษณาไม่แสดงไปยังการค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้ใช้งาน

ตัวอย่างคีย์เวิร์ดเชิงลบ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือคำว่า ฟรี เพราะในอินเทอร์เน็ตมีการค้นหาที่ประกอบด้วยคำว่าฟรี จำนวนมาก สมมติว่าคุณให้บริการชมภาพยนตร์เก็บค่าบริการ และไม่มีบริการฟรี เวลาตั้งค่าในแคมเปญ ก็ใส่คำว่า ฟรี ในหมวดคีย์เวิร์ดเชิงลบ เมื่อมีคนค้นหาคำว่า ดูหนังออนไลน์ฟรี โฆษณาของคุณจะไม่ถูกนำขึ้นแสดง เพราะคุณตั้งค่าให้ยกเว้นคำว่า ฟรี เอาไว้นั่นเอง ทำนองเดียวกัน หากคุณขายสินค้าที่เจาะจง เพศ วัย ก็สามารถตั้งคีย์เวิร์ดเชิงลบได้ ซึ่งก็เป็นคำที่คุณไม่ต้องการ เช่น ถ้าขายเสื้อผ้าเจาะกลุ่มผู้หญิง แต่คุณต้องการกำหนดคีย์เวิร์ดว่า เสื้อยืดสีขาว คุณก็ควรตั้งคำว่า ผู้ชาย หรือ ชาย อยู่ในคีย์เวิร์ดเชิงลบ เมื่อมีคนค้นหาว่า เสื้อยืดสีขาว ผู้ชาย โฆษณาของคุณก็จะไม่แสดง ส่งผลดีคือโฆษณาของคุณจะถูกแสดงได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

วิธีเพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบ

เมื่อทราบถึงประโยคและตัวอย่างการใส่คีย์เวิร์ดเชิงลบลงในแคมเปญโฆษณาแล้ว หลายคนอยากรู้วิธีการเพิ่มคีย์เวิร์ดประเภทนี้ลงในแคมเปญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระค่าใช้จ่ายในการยิงโฆษณา โดยขั้นตอนในการเพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบ มีดังนี้

  • เข้าสู่บัญชี Google Ads โดยใส่คีย์เวิร์ด Google Ads ลงในช่องค้นหาบน Google search และทำการลงชื่อเข้าสู่ระบบ
  • คลิกที่เมนู Keyword โดยตำแหน่งของเมนูนี้อยู่ที่บริเวณด้านบนซ้ายมือ จากนั้นเลือกตั้งค่าเพื่อเพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบลงไป และหากต้องการเปลี่ยนแปลงคีย์เวิร์ดเชิงลบในภายหลัง ก็สามารถทำได้ผ่านเมนูนี้เช่นกัน
  • เลือก Ads ที่ต้องการใช้คีย์เวิร์ดเชิงลบ จากนั้นใส่ข้อมูลให้เรียบร้อย เช่น การเพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบ หรือแก้ไขคำ เป็นต้น แล้วบันทึกการเปลี่ยนแปลง

เพื่อให้การยิงโฆษณามีประสิทธิภาพและลดภาระค่าใช้จ่าย แสดงผลตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ ควรหมั่นอัปเดตข้อมูลคีย์เวิร์ดเชิงลบ และตรวจสอบค่าสถิติต่าง ๆ อยู่เสมอ