6 เทคนิคการทำ SEO ช่วยให้ยอดขายพุ่ง

6 เทคนิคการทำ SEO ช่วยให้ยอดขายพุ่ง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจที่ต้องการให้เว็บไซต์ของตนเองติดหน้าแรกของ Google ต้องทำ SEO ช่วยให้ธุรกิจมีตัวตนโดดเด่นบนโลกออนไลน์ นอกจากจะเป็นที่สนใจของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มจำนวนผู้ติดตามและพัฒนาไปสู่การปิดการขายมากยิ่งขึ้น  เรามีเทคนิคการทํา SEO ด้วยตัวเอง ช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างต้องการ มาแนะนำกันดังนี้

1.คีย์เวิร์ดเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำ SEO ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์และติดอันดับผลการค้นหาที่ดีขึ้นได้เมื่อเนื้อหาตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย คีย์เวิร์ดแบ่งออกเป็นคำหลักแบบสั้นหรือ Generic Keyword ที่มีความหมายกว้างและคำค้นหา Long-tail Keyword ที่มีความหมายเฉพาะเจาะจงช่วยปรับแต่งคำหลักให้ได้อันดับที่สูงขึ้น 

2.วิธีการเลือกคีย์เวิร์ดให้เหมาะสม การเลือกใช้คีย์เวิร์ดมีความสำคัญมาก หากเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพจะสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า จะยิ่งง่ายในการค้นหาคอนเทนต์เพราะบทความจะเลื่อนขึ้นไปอยู่อันดับต้นๆ ของ Google และสร้างผลตอบแทนให้คุ้มค่าที่สุด หากไม่รู้ว่าจะใช้คีย์เวิร์ดใดนำมาตั้งชื่อสินค้า ควรลองใช้ Google Trends ที่เป็นเครื่องมือฟรีเพื่อหาคำที่เป็นกระแส มีคนเสิร์ชหากันมาก หรือใช้ Ubersuggest ที่เป็นเครื่องมือทำ SEO เพื่อเช็คคีย์เวิร์ดฟรี หรือจะซื้อแพ็กเกจแบบ Lifetime หรือถาวรก็ได้

3.คอนเทนต์ที่ดีบอกต่อคุณภาพ คอนเทนต์ที่มีคุณภาพและมีการแชร์บอกต่อกันไปมากจะถูกจัดอันดับในหน้าแรกๆ ของ Google แสดงว่าเนื้อหานั้นมีประโยชน์ทำให้คนติดตามมากขึ้นซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพของบทความนั้นจริงๆ ยิ่งติดอันดับแรกๆ บน Google ยิ่งมีโอกาสที่ลูกค้าจะคลิกเข้ามาในเว็บไซต์มากขึ้น เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าค้นหาเจอได้เร็วและธุรกิจปิดการขายได้ง่ายขึ้น

4.บทความที่ยาวเหมาะสมจะติดอันดับได้ง่าย การเขียนบทความที่มีความยาวเหมาะสมจะเขียนเนื้อหาให้มีความครอบคลุมพร้อมกับการใส่คีย์เวิร์ดเพื่อทํา SEO ด้วยตัวเองได้ง่ายกว่าบทความสั้นๆ สามารถใส่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และดึงดูดผู้อ่านเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้นานขึ้น ทั้งยังได้คะแนนจากจุดนี้ทำให้เลื่อนอันดับไปติดหน้าแรก ๆ บน Google ได้ง่ายขึ้นด้วย

5.ใส่รูปภาพพร้อมคำอธิบายทำให้ค้นเจอได้ง่ายขึ้น รูปภาพนับว่ามีส่วนสำคัญต่อการค้นหาบทความในหน้า Google และยังมีผลต่อการทำ SEO ด้วย โดยเฉพาะคำอธิบายรูปภาพที่ใส่คีย์เวิร์ดลงไปด้วยถือเป็นอีกเทคนิคที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ Google จัดลำดับหน้าเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก ๆ ของผลการค้นหาได้เช่นกัน

6.ความสม่ำเสมอในการลงคอนเทนต์ ความขยันลงคอนเทนต์ใหม่เพื่ออัปเดตเนื้อหาสาระสม่ำเสมอเป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้หน้าเว็บไซต์ของคุณติดอันดับดี ๆ บน Google มากยิ่งขึ้น ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้อย่างรวดเร็วซึ่งจะเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจได้อย่างมาก 

การทำ SEO อาจยากสำหรับมือใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร  ลองทำและเก็บข้อมูลวิเคราะห์ผลลัพธ์ไปเรื่อย เพื่อพัฒนาคอนเทนต์ให้ดีขึ้นต่อ ๆ ไป ช่วยเพิ่มยอดผู้ติดตามและสร้างยอดขายได้มากยิ่งขึ้น

Negative SEO จากคู่แข่ง เรื่องฝันร้ายของนักการตลาดออนไลน์ทุกคน

Negative SEO จากคู่แข่ง เรื่องฝันร้ายของนักการตลาดออนไลน์ทุกคน

คนทำ SEO ในปัจจุบันต้องทำความรู้จัก Negative SEO เอาไว้ เพราะถ้าไม่เตรียมการศึกษาเอาไว้ก่อนวันนี้ ถ้าเจอกับตัวเองคงรับมือไม่ถูกอย่างแน่นอน Negative SEO คือการที่คู่แข่งทางธุรกิจพยายามลดอันดับของเว็บไซต์ด้วยเทคนิคที่เป็นผลลบต่อ SEO ซึ่งอาจส่งผลให้เว็บไซต์ที่โดน Negative SEO อันดับตกลงอย่างช้าและสุดท้ายจะหายไปจากหน้าผลลัพธ์การค้นหาเลยในที่สุด ซึ่งการทำ Negative SEO มีอยู่ด้วยกัน 4 อย่างโดยทั่วไป ดังนี้

  1. การแฮกเว็บธุรกิจ

หากระบบไม่มีการติดตั้งปลั๊กอินเพื่อป้องกันการโดนแฮกอย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่ค่อยมีการอัปเดตระบบดูแลรักษาความปลอดภัยแบบนี้บ่อย ๆ อาจจะทำให้เว็บไซต์โดนแฮกได้ ซึ่งแฮกเกอร์จะสามารถแก้ไขเว็บไซต์ของเราได้ตามใจตนเอง สิ่งนี้ไม่ได้สร้างผลกระทบแค่เรื่อง SEO เท่านั้น แต่ยังกระทบต่อความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้า และทำให้ความปลอดภัยเรื่องข้อมูลของบริษัทลดลงอีกด้วย

  1. สร้างสแปมใส่เว็บไซต์

การสร้างสแปมเกิดขึ้นได้หลายแบบ เช่น การนำผู้ใช้งานเว็บไซต์ไปยังหน้าอื่น การสร้างหน้าเพจซ้ำ ๆ ขึ้นมาหลายครั้ง หรือการสร้างหน้าเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่มีความหมาย กิจกรรมเหล่านี้จะทำให้อันดับ SEO ตกลงช้า ๆ และหายไปในที่สุด แถมยังทำให้ความประทับใจของผู้ใช้งานที่มีต่อแบรนด์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาอาจจะรู้สึกว่าเว็บของเราไม่ปลอดภัย จนไม่อยากใช้งานอีก

  1. สร้าง Backlink จากคีย์เวิร์ดผิดหมาย

ผู้ไม่หวังดีอาจสร้าง Backlink กลับมาที่หน้าเว็บธุรกิจ โดยผ่านการคลิกผ่านคีย์เวิร์ดผิดกฎหมาย เช่น หนังโป๊ การพนัน ยาลดน้ำหนัก ซึ่งวิธีการนี้เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในการทำ Negative SEO และท้ายที่สุดอัลกอริทึมของ Google จะแบนเว็บของเราทั้งที่เราไม่ได้เป็นคนทำ ถึงจะตรวจสอบแล้วว่าไม่ได้เกิดจากการทำด้วยตัวเองและจะใช้เวลานานกว่าจะได้กลับมาที่ผลลัพธ์เดิม 

  1. ก็อปคอนเทนต์จากเว็บไซต์

การทำ Negative SEO อีกอย่างทำได้ด้วยการก็อปคอนเทนต์จากเว็บไซต์ธุรกิจของเราแล้วนำไปสร้างเพจใหม่หลาย ๆ ครั้ง ทำให้เนื้อหานั้นปรากฎจากหลายแหล่งบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะทำให้โดนมองว่าเป็นเว็บคุณภาพต่ำในสายตาของ Google และทำให้อันดับ SEO ตกลงในที่สุด

ซึ่งวิธีนี้แก้ได้ด้วยการแจ้งเข้าไปให้ Google ว่าทางเว็บไซต์ไม่ได้เป็นผู้ทำคอนเทนต์หรือสแปมเหล่านั้น เพื่อให้ Google จัดการบล็อก Negative SEO ออกไป บอกเลยว่าต้องหมั่นสำรวจเว็บไซต์ของตัวเองอยู่เสมอว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ จะได้รับมือได้อย่างทันท่วงที เพราะถ้าโดนตรวจสอบโดย Google ขึ้นมา จะเป็นเรื่องเสียเวลาและยุ่งยากมาก นอกจากนั้น ถ้าอันดับ SEO ที่ตกลงไปแล้ว จะกู้ให้กลับมาเหมือนเดิมจะต้องใช้เวลานานมากเลยทีเดียว อาจจะทำให้เสียลูกค้าไปอย่างน่าเสียดาย

คำศัพท์สำคัญที่คนทำ SEO มือใหม่ต้องเข้าใจ

คำศัพท์สำคัญที่คนทำ SEO มือใหม่ต้องเข้าใจ

งานทุกสายล้วนมีคำศัพท์ทางเทคนิคมากมายที่สร้างความปวดหัว จนทำให้มือใหม่ที่เพิ่งก้าวเท้าเข้าสู่วงการเกิดความสับสน การทำ SEO ก็ไม่แตกต่างกัน เพราะมีคำศัพท์ใหม่ที่ต้องทำความเข้าใจอยู่หลายคำ เจ้าของแบรนด์ที่มีการจ้างงานเพื่อการทำการตลาดด้วย SEO อาจคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องเข้าใจ แต่ถ้ารู้ไว้จะสามารถสื่อสารกับผู้ดูแลเรื่องการทำ SEO ได้ดีขึ้น วันนี้เราได้ทำการสรุปคำศัพท์พื้นฐานที่มือใหม่ในวงการทำ SEO ต้องรู้มาอธิบายให้ฟัง

  1. SERP

คำนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นตัว โดยคำเต็มของ SERP คือ Search Engine Results Page ซึ่งหมายถึงผลลัพธ์การค้นหาที่ปรากฏขึ้นมาจากการเสิร์จของผู้ใช้บริการในโลกออนไลน์ ถ้าหากเว็บไซต์ที่เรากำลังพัฒนาติดบนหน้าแรกของ SERP หมายถึงลำดับการค้นหาที่สูงขึ้น และนำไปสู่โอกาสที่ผู้บริโภคจะตระหนักรู้ถึงสินค้าและบริการที่ธุรกิจต้องการขายได้มากขึ้น ดังนั้นทุกคนจึงมีเป้าหมายที่จะอยู่ด้านบนสุดของ SERP นั่นเอง

  1. Keyword

หมายถึงสิ่งที่ถูกนำมาใช้ในการเสิร์จหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตของผู้ที่ต้องการค้นหาสินค้าและบริการ ซึ่งอาจจะเป็นคำเดียวหรือมากกว่านั้น อาจจะเป็นกลุ่มคำ วลี หรือแม้แต่ประโยคคำถามก็สามารเป็นไปได้ ทำให้การคัดเลือก Keyword ที่น่าจะตรงใจกับการค้นหาของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ และสิ่งนี้จะถูกนำมาใช้บนหน้าเว็บไซต์เพื่อให้ปรากฏขึ้นบนผลการค้นหาหรือ SERP นั่นเอง

  1. Keyword Stuffing

คือการทำ SEO ที่ไม่เหมาะสมรูปแบบหนึ่ง โดยเป็นการยัดเยียด Keyword ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา เข้าไปในหน้าเพจเพื่อให้มีโอกาสติดอันดับบน SERP ได้มากขึ้น โดยมักจะมีการใช้คำซ้ำ ๆ วกไปวนมา แต่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งสิ่งนี้อาจทำให้โดนลงโทษจากระบบการตัดสินอับดับและทำให้เว็บไซต์หลุดออกจากผลการค้นหาไปเลยทีเดียว ดังนั้นไม่ควรใช้ Keyword Stuffing ในการทำ SEO โดยเด็ดขาด และควรเลือกใช้บริการผู้เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพจะทำให้การทำ SEO ดูเป็นมืออาชีพ

  1. On-page SEO

หมายถึงการสร้างเนื้อหาและการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ของตัวเอง โดยอาจมีการใส่ลิงก์จากหน้าโฮมเพจเข้าไปในส่วนของเนื้อหาต่าง ๆ โดยต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบและสามารถเข้าใจง่าย สะดวกสบายต่อการใช้งาน จึงจะส่งผลลัพธ์ที่ดีต่อการทำ SEO

  1. Off-page SEO และ Backlink

สิ่งนี้คือการเชื่อมโยงจากเนื้อหาภายนอกเว็บไซต์เข้ามายังเว็บธุรกิจ โดยอาจมาในรูปแบบของการรีวิว การแนะนำ การให้ความรู้ หรือการอ้างอิง โดยลิงก์ที่ถูกเชื่อมกลับมาที่เว็บไซต์จะถูกเรียนว่า Backlink จุดมุ่งหมายในการทำ SEO คือการสร้างลิงก์จากภายนอกที่มีคุณภาพ ในปริมาณที่มากพอ จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือและสามารถติดหน้าแรก ๆ ของอันดับการค้นหาได้อย่างง่ายดาย

ทุกคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำ SEO ใหม่ ๆ คงจะเข้าใจสิ่งทีมืออาชีพด้านนี้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้มากขึ้นจากคำศัพท์พื้นฐานที่เรานำมาแนะนำกันในวันนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับการทำงานของทุกคน แต่อย่าลืมว่ายังมีคำศัพท์อีกมาก แถมยังมีคำศัพท์ทางดิจิตอลใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอด ดังนั้นต้องหมั่นอัพเดทความรู้ จะได้เข้าใจการทำงานและการพัฒนาของวงการ SEO ได้ดีขึ้น

เปลี่ยนวิธีคิด สร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ด้วยการทำ SEO

เปลี่ยนวิธีคิด สร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ด้วยการทำ SEO

ช่องทางการทำธุรกิจในทุกวันนี้ก้าวกระโดดไปกว่าอดีตที่ผ่านมา ทั้งเจ้าของแบรนด์และนักลงทุนต่างก็มีการปรับตัวเพื่อให้สามารถยังไปต่อและเติบโตมากขึ้นได้ การทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ ทำแบรนด์ให้ปังมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น การทำ SEO ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ ซึ่งจะมีวิธีและแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้นตามไปดูกัน

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization พูดง่าย ๆ ก็คือการปรับแต่งเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของทางแบรนด์ที่จะทำให้เว็บไซต์นั้นสามารถค้นพบได้ง่ายมากขึ้น โดยไปติดอันดับเว็บไซต์ที่อยู่ในหน้าแรก ๆ ของการค้นหานั่นเอง ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวแต่จริง ๆ ทุกเว็บไซต์สามารถทำได้เพียงแต่ต้องมีวิธีการและแนวทางที่ถูกต้อง

  • เนื้อหาภายในเว็บไซต์จะต้องมีคีย์เวิร์ดที่ตอบโจทย์ โดยควรจะเป็นคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณคำค้นหาต่อเดือนที่สูง โดยเลือกคีย์เวิร์ดตามกลุ่มเป้าหมายที่สนใจ ซึ่งในส่วนนี้ก็จะต้องมีความสอดคล้องกับสินค้าและบริการที่ทางแบรนด์ต้องการนำเสนอด้วย โดยสามารถที่จะวิเคราะห์และศึกษาถึง ความสนใจ ความชอบ ปัญหา ความวิตกกังวลและรูปแบบภาษาที่ทางกลุ่มเป้าหมายมักจะเลือกใช้ ก็จะทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลออกมาได้อย่างตรงจุดและมีความละเอียดขึ้น
  • ให้ความสำคัญในเรื่อง mobile friendly ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของเว็บไซต์ ก็ควรที่จะมีหน้าเว็บไซต์ที่มีการใช้งานง่ายสำหรับการเข้าสู่เว็บไซต์ผ่านโทรศัพท์มือถือ เนื่องด้วยในปัจจุบันมีการใช้งานโทรศัพท์มือถือเพิ่มมากขึ้น ทาง google ก็เห็นความสำคัญในส่วนนี้เช่นกัน ซึ่งจะมีการจัดอันดับและการจัดทำดัชนีสำหรับโทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่ด้วย เจ้าของเว็บไซต์ที่ตั้งใจสร้างเนื้อหาที่ดีและมีประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง ถ้ามีการเสริมตรงส่วนนี้เข้าไปก็จะทำให้มีโอกาสในการติดอันดับเว็บไซต์ต้น ๆ ในหน้าการค้นหามากยิ่งขึ้น 
  • อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามนั่นก็คือเมื่อกดคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์แล้ว ความเร็วและประสิทธิภาพการดาวน์โหลดตอบโจทย์ผู้เข้าชมหรือไม่ โดยความเร็วในการดาวน์โหลดเว็บไซต์ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการทำ SEO อย่างมากทีเดียว
  • และในส่วนของเนื้อหาที่นำไปลงในเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นบทความสั้นหรือบทความยาวควรที่จะเป็นเนื้อหาที่สดใหม่ ไม่ได้ไปลอกเลียนแบบมาจากเว็บไซต์อื่น ๆ ควรที่จะมีสไตล์เป็นของตนเอง แสดงออกได้ถึงการเป็นเจ้าของเนื้อหาอย่างแท้จริง

จากรายละเอียดเนื้อหาเกี่ยวกับ SEO ข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่ารูปแบบขั้นตอนและเทคนิควิธีการทำ SEO มีด้วยกันหลากหลายส่วน ถ้าจะเน้นที่จะโฟกัสที่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งก็คงไม่สามารถทำให้การทำ SEO ประสิทธิภาพอย่างที่ตั้งใจได้ ซึ่งถ้าทางเจ้าของเว็บไซต์มีความสนใจก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม

คอนเทนต์ SEO ต่างจากคอนเทนต์ทั่วไปยังไงบ้าง

คอนเทนต์ SEO ต่างจากคอนเทนต์ทั่วไปยังไงบ้าง

หลายคนที่กำลังทำ SEO อาจจะคิดว่าบทความที่ใช้ในการทำ SEO เป็นแค่บทความธรรมดา เขียนให้เข้าใจง่าย น่าอ่านและถูกต้องคงเพียงพอแล้ว แต่จริง ๆ การทำบทความสำหรับ SEO ไม่ได้เขียนเพื่อให้ผู้อ่านบนโลกออนไลน์ถูกใจเท่านั้น แต่ต้องเน้นไปที่หลักการที่ใช่สำหรับอัลกอริทึมของ Google ด้วย ดังนั้นบทความทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันอยู่แน่นอน ซึ่งบทความของ SEO มีเทคนิคในการเขียนให้ประสบความสำเร็จอยู่ดังนี้

  1. เลือกคีย์เวิร์ดอย่างชาญฉลาด

การเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับบทความใน SEO ไม่สามารถเลือกแบบสุ่มได้ แต่ต้องเลือกคำที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ที่มีปริมาณในการเสิร์จอยู่ในระดับดี สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังสามารถพิจารณาการลดคู่แข่ง ด้วยการใช้คีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงหรือระบุตำแหน่งได้ ซึ่งการเลือกคำที่ใช้ต้องมีการทำรีเสิร์จอย่างจริงจังจึงจะประสบความสำเร็จ

  1. ใส่ใจกับตำแหน่งในการใส่คีย์เวิร์ด

ตำแหน่งของการวางคีย์เวิร์ดในบทความต้องมีการกระจายตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ยัดเยียดหรือใส่ไปแบบไร้ความหมาย เพราะอาจจะถูกแบนจาก Google ได้เลยทีเดียว นอกจากนั้นยังต้องใส่ใจในการใส่คีย์เวิร์ดในส่วนต่าง ๆ ของเพจเช่น ในชื่อของบทความ หัวข้อเรื่อง URL และ Meta Description ของเพจ เพราะตำแหน่งทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อการพิจารณาลำดับของการปรากฏของเว็บไซต์บนผลการค้นหา

  1. ความยาวที่ใช่สำหรับ SEO

บทความที่ดีสำหรับ SEO ไม่ควรสั้นหรือยาวเกินไป เพราะสั้นเกินไป จะไม่สามารถสามารถครอบคลุมคีย์เวิร์ดได้ในความถี่ที่เหมาะสม และยิ่งเนื้อหายาวจะยิ่งมีข้อมูลมากพอที่ Google จะตรวจสอบว่าเนื้อหามีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดจริงหรือไม่ แต่ไม่ควรยาวเกินไปเพราะจะจับใจความได้ยากสำหรับผู้อ่านเช่นกัน ซึ่งความยาวที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 500-100 คำ 

  1. ใส่ข้อมูลรูปภาพให้ Google เข้าใจ

การนำภาพมาใส่ประกอบบทความสามารถใช้ดันอันดับ SEO ได้ดีเช่นกัน แต่การเลือกภาพไม่ใช่จะเลือกจากความสวยงามเท่านั้น เพราะ Google ไม่สามารถมองเห็นภาพได้เหมือนมนุษย์ ลักษณะภาพที่ดีคือมาจากแหล่งที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ และต้องมีการใส่คีย์เวิร์ดในชื่อกับ alt text ของรูปภาพด้วย เพื่อบอกให้ซอฟต์แวร์รู้ว่าภาพที่นำมาประกอบคืออะไรและเกี่ยวข้องกับบทความอย่างไรบ้าง

  1. หมั่นอัปเดตคอนเทนต์เสมอ

บทความทั่วไปหลังจากเผยแพร่ไปแล้วอาจจะไม่จำเป็นต้องกลับมาแก้ไขหรือปรับปรุงบ่อยเท่าบทความ SEO เพราะ SEO มีการพิจารณาเรื่องปริมาณการเข้าถึงบทความและความสดใหม่ของเนื้อหาด้วย ดังนั้นต้องมีการปรับปรุงให้ตอบโจทย์ของ SEO อย่างสม่ำเสมอ

เมื่อรู้ดังนี้แล้วนักเขียนที่เคยเขียนบทความทั่วไปที่ต้องการเริ่มทำงานในตลาดของ SEO หรือผู้ที่สนใจเรื่องวิธีการเขียนบทความ SEO ให้ตอบโจทย์ที่ Google ถูกใจ สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ได้เลย เมื่อเข้าใจวิธีการสร้างคอนเทนต์ได้อย่างเหมาะสม จะมีโอกาสดันอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน

Yoast SEO คืออะไร ทำไมคนทำการตลาดออนไลน์ถึงควรรู้

Yoast SEO คือ เครื่องมือยอดนิยมใน WordPress ที่ช่วยในการปรับแต่ง SEO ให้มีความเหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานตามหลักของ google ได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด โดยเฉพาะคนที่ต้องการทำการตลอดออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ด้วยบทความ จำเป็นที่จะต้องติดตั้งปลั๊กอินที่ชื่อว่า Yoast นี้ เพื่อช่วยในการตรวจสอบคำหรือบทความให้ถูกต้องตามหลัก SEO On-Page เนื่อง Yoast เป็นตัวช่วยในการปรับแต่ง แก้ไข ให้บทความในเว็บไซต์ ให้สมบูรณ์ ถูกต้องตามหลักการค้นหาของ google 

ประโยชน์ของ Yoast SEO ที่มีต่อเว็บไซต์

Yoast เป็นเครื่องมือที่ฟรีและเป็นมิตรกับ google เอามาก ๆ จึงเป็นที่นิยมสำหรับคนที่ทำเว็บไซต์ด้วยโปรแกรม WordPress โดยเฉพาะมือใหม่ด้วยฟีเจอร์ที่คอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับใช้คำหรือข้อความให้ถูกหลัก SEO โดยจะแสดงออกมาในรูปของสีบนตัวอักษร

  • สีเขียว หมายถึง ผ่าน, ทำได้ดี มีความสมบูรณ์มากที่สุด ถูกต้องตามหลัก SEO 
  • สีส้ม หมายถึง ดีแต่ยังไม่สมบูรณ์ ควรทำการปรับปรุงแก้ไข 
  • สีแดง หมายถึง ไม่ผ่าน ต้องแก้ไขโดยด่วน 

ช่วยเลือกคีย์เวิร์ด

นอกจากจะช่วยในเรื่องของการตรวจสอบความสมบูรณ์ ของบทความตามหลัก SEO แล้ว ยังช่วยเลือก Keyword ที่เหมาะสมสำหรับบทความของคุณอีกด้วย 

ช่วยวิเคราะห์และปรับแต่งเว็บไซต์

Yoast SEO ยังมีฟีเจอร์เด่น ๆ ในเรื่องของการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมและถูกต้องตามหลักของ SEO ด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างเว็บไซต์ ดังนี้ 

  • ในส่วนของ Meta Description คือคำอธิบาย เนื้อหาของเว็บไซต์ โดยจะอยู่ในส่วนของ Head โดยข้อความของ Meta Description จะแสดงในหน้าค้นหาของ Search Engine ซึ่ง Yoast จะทำหน้าที่ในการกำหนดความยาวที่เหมาะสมหรือการโฟกัสในส่วนของ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด 
  • XML Sitemaps คือ แผนผังเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ในการนำทางให้ Bot ของ SEO เข้าใจถึงโครงสร้างของเว็บไซต์ คล้ายเป็นไกด์หรือสารบัญให้ Bot ได้ตรวจสอบ เพื่อให้เข้าใจเว็บไซต์ที่ทำมากยิ่งขึ้น หากตรวจพบถึงโครงสร้างที่ไม่เหมาะสมจะทำการแจ้งให้ปรับปรุง แก้ไข เช่น การเชื่อมต่อภายใน, การเชื่อมต่อภายนอก เป็นต้น
  • Canonical URLs คือ URLs ที่มีการเข้าถึงซ้ำ ๆ กันหลาย address หรือมีเนื้อหาที่ซ้ำกัน เช่น hppts://about.com กับ http://aboutus.com จาก URL ดังกล่าวเป็นไปได้ว่าหน้าเพจที่ลิงก์ไปอาจซ้ำกันหรือมีหน้าตาที่เหมือนกัน ซึ่ง Canonical URLs นี้จะช่วยแก้ไขเมื่อพบว่าเนื้อหาของเพจซ้ำกัน ควรได้รับการตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไขและ Canonical URLs ยังช่วยบอก Bot ของ google ว่าเว็บไซต์ดังกล่าวให้ความสำคัญกับเพจหน้าไหนมากที่สุด

สำหรับใครที่มีความสนใจจะทำเว็บไซต์เพื่อการตลาดให้ถูกต้องตามกฎ SEO อย่าลืมที่จะโหลดปลั๊กอิน Yoast มาใช้ โดยเฉพาะมือใหม่ เพื่อที่จะได้เป็นแนวทางในการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาของ google ได้อย่างถูกต้อง เช่นเดียวกันกับการทำเว็บไซต์กีฬาออนไลน์ ทำยังไงให้คำค้นหาของเราติดหน้าแรกของ google อย่างเช่นคำค้นหา ผลบอลสด เป็นต้น แต่อย่าลืมว่า Yoast เป็นเครื่องมือที่ช่วยปรับปรุง แก้ไขเว็บไซต์ให้ถูกต้องตามหลัก SEO มิใช่เครื่องมือที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ 


อยากทำธุรกิจออนไลน์สำเร็จ ต้องรู้ความสำคัญของการโปรโมทด้วย SEO

อยากทำธุรกิจออนไลน์สำเร็จ ต้องรู้ความสำคัญของการโปรโมทด้วย SEO

การเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ใครก็สามารถมีเพจหรือเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นต้องอาศัยหลายปัจจัย อย่างการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักต้องทำการตลาด โปรโมท แต่หากใครที่พึ่งเริ่มต้นยังไม่พร้อมเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้ เรามีทางเลือกมาเสนอ นั้นคือการเลือกใช้ SEO (Search Engine Optimization) คือ การโปรโมทที่ต้องอาศัยเนื้อหาที่เกี่ยวกับสินค้าของแบรนด์ โดยเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาบ่อยที่สุดในกูเกิ้ลมาประกอบ จึงจะทำให้มีคนเข้ามาในเว็บมากขึ้น หากวันนี้ใครที่กำลังจะเริ่มต้นทำธุรกิจลองไปดูความสำคัญของ SEO กับธุรกิจออนไลน์ว่าเชื่อมโยงกันอย่างไร

เริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ต้องรู้ ความสำคัญของ SEO

1.เว็บไซต์จะเป็นที่รู้จักง่ายขึ้น

การที่เว็บของคุณจะขึ้นอันดับในการค้นหาในกูเกิ้ลได้นั้นขึ้นอยู่ที่การเลือกใช้คีย์เวิร์ด โดยอาศัยโปรแกรมรวมคีย์เวิร์ดต่าง ๆ พร้อมดูอันดับการค้นหาว่า คำใดมีจำนวนผู้ค้นหามากที่สุด เมื่อเลือกนำมาใช้ประกอบในเนื้อหา ไม่นานเว็บของคุณต้องเป็นที่รู้จักอย่างแน่นอน

2. ธุรกิจของคุณจะเติบโตไวแซงหน้าคู่แข่ง

แม้ว่าเรื่องอันดับของเว็บจะสำคัญอย่างมากในการที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้ไว แต่ก็ไม่ควรมองข้ามในเรื่องของเนื้อหาที่มีคุณภาพ แนะนำสินค้าด้วยความสัจจริงและให้ความรู้แก่ผู้บริโภคอย่างครบถ้วน หากเป็นเช่นนั้นจะส่งผลให้สินค้าของคุณมีความน่าเชื่อถือ เป็นการสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคอย่างหนึ่งและธุรกิจจะเติบโตแซงหน้าคู่แข่งไปอย่างยั่งยืนนั่นเอง

3. SEO สร้างการจดจำให้แก่แบรนด์

สิ่งแรกที่จะบอกได้ว่าแบรนด์ของคุณนั้นเป็นที่จดจำมากน้อยแค่ไหน ต้องดูที่จำนวนผู้ที่เข้าเว็บไซต์หรือการค้นหาแบรนด์นั้น ๆ แน่นอนว่าต้องขึ้นอยู่กับการนำเสนอเนื้อหาที่ใช้ SEO เป็นตัวชักนำ พร้อมกับการออกแบบดีไซน์ให้สวยงาม เข้ากับแบรนด์ เพื่อสร้างความน่าสนใจ

4. ประหยัดค่าโปรโมทเว็บไซต์และสินค้า

อย่างที่ทราบกันว่า SEO เป็นการโปรโมทที่ใช้ต้นทุนต่ำที่สุด เพียงแค่แบรนด์นำเสนอเนื้อหาสินค้าพร้อมให้ความรู้โดยการใช้คำที่ค้นหาบ่อยที่สุดในกูเกิ้ลมาประกอบในเนื้อหาเท่านั้น

แม้ว่าสินค้าของคุณจะมีคุณภาพดีแค่ไหน หากขาดการทำการตลาดและใช้ SEO ธุรกิจก็ไม่อาจเติบโตได้ทันคู่แข่ง ฉะนั้นจึงบอกได้แล้วว่า SEO คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตามนอกจากสินค้าจะมีประสิทธิภาพแล้ว เนื้อหาที่นำเสนอออกไปก็ต้องให้ความรู้อย่างครบถ้วน เพื่อเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้บริโภค นำไปสู่การเพิ่มจำนวนผู้ที่มาเข้าชมเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง

ยกระดับคอนเทนต์ SEO ให้น่าสนใจด้วยการปรับเนื้อหาและการใช้ภาพ

ยกระดับคอนเทนต์ SEO ให้น่าสนใจด้วยการปรับเนื้อหาและการใช้ภาพ

เพราะการทำ SEO สำหรับธุรกิจออนไลน์ ไม่ได้มีแค่การใช้คำหลักหรือ Keyword ใส่ลงไปในคอนเทนต์เนื้อหาที่นำเสนอให้กับลูกค้าเท่านั้น ถ้าอยากให้ธุรกิจเอาชนะคู่แข่งและแซงขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งใน Search Engine ที่ลูกค้าใช้ได้ มันก็จะต้องมีการปรับกลยุทธ์เพื่อยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำ SEO ของธุรกิจด้วย

ปรับเนื้อหาจากการเล่าประโยชน์เป็นการตั้งคำถาม

หลายธุรกิจมักจะมีการเลือกทำ SEO โดยนิยมใช้คอนเทนต์แบบการนำเสนอประโยชน์ ข้อดี และสิ่งที่จะเข้ามาเป็น Solution ให้กับลูกค้าได้ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ถ้าไม่อยากให้คอนเทนต์จำเจ เราต้องแทรกคอนเทนต์แบบการถาม-ตอบ เข้ามาเพื่อดึงดูดความสนใจและสร้าง Traffic ด้วย

คอนเทนต์แบบจัดอันดับ FAQ หนึ่งรูปแบบของคอนเทนต์ SEO ที่ได้รับความนิยมก็คือการจัดอันดับคำถามที่หลายคนชอบสงสัย ทั้งในตัวสินค้า หรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของธุรกิจ เป็นคำถามที่ลูกค้ามักจะถามซ้ำ ๆ อยู่บ่อยครั้ง ถ้ามีข้อมูลให้ลองเอามาจัดอันดับและนำเสนอแบบ SEO ได้เลย

ใส่คำหลักลงไปในคำตอบ การสร้างคอนเทนต์แบบ FAQ ให้ลงตัว อ่านง่าย และดูเป็นธรรมชาติ และต้องทำให้เป็น SEO ด้วย ตรงนี้ให้เราใส่คำหลัก (Keyword) ลงไปในคำตอบทุก ๆ ข้อ แนะนำว่าอย่ายัดคำหลักเยอะเกินไป ให้แบ่งใช้คำหลัก คำรอง สลับกัน เพื่อให้คอนเทนต์สามารถดึงลูกค้าเข้ามาหน้าเว็บไซต์ได้

เลือกใช้ภาพกับคอนเทนต์ให้ลงตัว

เดี๋ยวนี้ Google ได้มีการพัฒนาความสามารถในการจัดอันดับโดยดูถึงรูปภาพและรายละเอียด มากกว่าแค่การนับจำนวนคำหลักแล้ว นั่นหมายความว่าทุก ๆ คอนเทนต์ที่ทำ SEO ควรมีการนำรูปภาพที่เหมาะสมมาใส่และเลือกให้ลงตัวเพื่อให้เกิดความน่าสนใจและส่งผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์

ขนาดของภาพและดีไซน์ที่เหมาะสม เพราะการจัดอันดับหน้าเว็บไซต์จะมีการวัดคะแนน Page Speed ถ้าขนาดของภาพในคอนเทนต์มีความเหมาะสม ไม่ใหญ่เกินไป โหลดได้ไว เว็บไซต์ก็จะได้คะแนนดีในข้อนี้ รวมไปถึงดีไซน์ของภาพที่ควรจะเข้ากันกับเนื้อหาเพื่อให้ลูกค้ามองภาพแล้วเข้าใจได้ทันที

คำอธิบายและการใช้งานในหลายแพลตฟอร์ม สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมเด็ดขาดก็คือการสร้างคำอธิบายเอาไว้ท้ายภาพเพื่อให้ลูกค้าและระบบเข้าใจได้ว่าภาพนั้นคือภาพอะไร แสดงถึงอะไร และในทุก ๆ ภาพที่ใช้ควรมีการถูกทดสอบการแสดงผลในแพลตฟอร์ม เช่น ใน PC, Tablet, หรือ Smart Phone ที่หลากหลายว่ามีการแสดงผลชัดเจนหรือไม่ โหลดไวแค่ไหนด้วย

ด้วยกลยุทธ์ที่ทำให้การทำ SEO ของธุรกิจมีความน่าสนใจและล้ำกว่าคู่แข่งจะเกิดเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดออนไลน์ ที่เป็นอาวุธสำคัญที่ธุรกิจ E-Commerce จะสามารถใช้เป็นอาวุธนำทางธุรกิจไปสู่ความสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้

ถอดกลยุทธ์ที่ทำให้คลิปกลายเป็นไวรัลบน TikTok

ถอดกลยุทธ์ที่ทำให้คลิปกลายเป็นไวรัลบน TikTok

TikTok แอปพลิเคชั่นที่ออกแบบมาเพื่อให้คนทั่วไปสามารถสร้างตัวตนด้วยคลิปสั้นและกลายเป็นที่รู้จักได้ง่าย ๆ แต่ถึงจะง่ายก็ไม่ใช่ใครที่สามารถปั่นคลิปให้เป็นกระแสได้หากคลิปนั้นไม่มีคนดู ในปี ค.ศ. 2022 Tik Tok มีการอัปเดต Algorithm ให้สามารถเลือกสรรคลิปวิดีโอให้ตอบโจทย์ต่อความต้องการของ User มากยิ่งขึ้นและเริ่มพัฒนาให้แอปกลายเป็น Search Engine ที่แสดงผลการค้นหาเป็นวิดีโอ โดยกลยุทธ์ที่ช่วยให้คลิปของคุณกลายเป็นไวรัล มีเทคนิคดังนี้

ใส่คำค้นหา (Keyword) ลงในคำอธิบายคลิป ความแตกต่างระหว่างการโพสต์คลิปวิดีโอลง YouTube กับ Tik Tok คือ ในแอปพลิเคชั่น YouTube จะมีช่องให้เราสามารถตั้งชื่อคลิปวิดีโอแต่ใน Tik Tok จะไม่มีฟังก์ชันนี้ ทำให้เราต้องนำ Keyword ใส่ลงในคำอธิบายแทน

Tip: วิธีการเลือก Keyword สำหรับใส่ลงในคลิปสามารถค้นหาได้จาก Keyword suggestion ในช่องค้นหาและเลือกคำที่มีความเกี่ยวข้องกับคลิปมาใส่ลงไป

อย่าลืมใส่ Hash tag ลงในคำอธิบาย ลักษณะการเขียนคำอธิบายคลิปใน Tik Tok จะมีความคล้ายกับแอพพลิเคชั่น Twitter โดย Hash tag ที่ควรใส่ลงไปจะต้องเป็น Hash tag กระแส เพราะ Algorithm Tik Tok จะดึงเอาคลิปที่ใส่ Hash tag กระแสแสดงผลให้กับ Users ก่อนเสมอ

Tip: หากเปิด Tik Tok ในคอมพิวเตอร์ Hash tag กระแสจะอยู่บริเวณซ้ายมือล่าง แต่หากเปิดแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน Hash tag กระแสสามารถดูได้จากการเข้าช่องค้นหาในแอปและเลื่อนลงมาด้านล่างสุดจะมี Hash tag กระแสแนะนำอยู่

ใส่เพลงฮิตลงไปเพื่อความปัง เพลงฮิต Tik Tok เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่ขาดไม่ได้ในการทำคลิปวิดีโอเพื่อสร้างไวรัล

Tip: วิธีค้นหาเพลงฮิตสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีเดียวกับการหา Hash tag กระแส

โพสต์คลิปวิดีโอสม่ำเสมอ การโพสต์คลิปวิดีโออย่างสม่ำเสมอเปรียบเสมือนการกระตุ้นการทำงานของ Algorithm Tik Tok นอกจากนี้การทำคลิปที่มีความยาวประมาณ 1 นาทีจะช่วยให้คลิปมีโอกาสเป็นไวรัลมากกว่า

Tip: หากเป็นไปได้ควรโพสต์คลิปอย่างน้อยวันละ 3 – 6 คลิปเป็นประจำทุกวัน โดยอาจแบ่งเป็นช่วงเวลาเช้า กลางวันและเย็น ที่สำคัญต้องโพสต์เวลาเดิมทุกครั้งจะดีมาก

มีส่วนร่วมกับคลิปของคนอื่น การมีส่วนร่วมกับคลิปของคนอื่นเป็นสิ่งที่จะช่วยในการกระตุ้นให้คลิปวิดีโอของเรากลายเป็นไวรัลได้ เนื่องจาก Algorithm Tik Tok จะมองว่าเราต้องการที่จะใช้งาน Tik Tok จริง ๆ ไม่ได้ใช้แอปพลิเคชั่นเอาไว้ฆ่าเวลาเท่านั้น

Tip: 1. ดูคลิปให้จบ 2. กดหัวใจ 3. คอมเมนต์ และหากมีเวลาการเข้าชม live Tik Tok ในสิ่งที่เรากำลังให้ความสนใจและคอมเมนต์พูดคุย มีส่วนร่วมเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มผู้ติดตามได้

หากต้องการสร้างตัวตนใน Tik Tok และทำให้คลิปเป็นไวรัล 5 กลยุทธ์ที่แนะนำข้างบนจะทำให้คลิปกลายเป็นไวรัลบน TikTok ได้

Buyer Journey Keyword

อัปเดตเทรนด์ เหตุใดคีย์เวิร์ดยังมีความสำคัญ..

หลักการทำ SEO ปรับเปลี่ยนไปตามยุคใหม่ แต่เหตุผลที่คีย์เวิร์ดยังคงมีความสำคัญต่อเนื้อหาบทความเนื่องจากคำหลักตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค คีย์เวิร์ดที่ดีช่วยให้ผู้บริโภคค้นหาสิ่งที่ต้องการเจอและช่วยให้ร้านค้าเพิ่มยอดขายให้พุ่งขึ้น หากต้องการติดอันดับในเสิร์ชเอนจินต่อไปควรทำการอัปเดตคีย์เวิร์ดใหม่ ๆ นำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการเสิร์ชหาบนโลกอินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ

การอัปเดตคีย์เวิร์ดด้วยการทำ Keyword Research เพื่อเดาว่าลูกค้าเป้าหมายใช้คีย์เวิร์ดอะไรในการค้นหาสินค้าหรือบริการเพื่อให้ได้คีย์เวิร์ดที่หลากหลายขึ้น นำมาสร้างเนื้อหาบทความที่มีคุณภาพและน่าอ่านเพื่อลงในเว็บไซต์ หลังจากนั้นเช็คปริมาณการเสิร์จว่ามีคนเข้ามาในเว็บไซต์มากน้อยเท่าไร แม้จะยังฟันธงไม่ได้ว่าการอัปเดตคีย์เวิร์ดช่วยให้ทำเงินได้มากน้อยอย่างไร แต่การที่ลูกค้าเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์มากขึ้นเท่ากับทำให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น และมีโอกาสปิดการขายเพิ่มขึ้นด้วย

นอกเหนือจากการเดาใจลูกค้าว่าต้องการอะไรแล้ว ผู้ทำเว็บไซต์ยังต้องใช้คีย์เวิร์ดอื่น ๆ เพื่อผลักดันการเสิร์จหามากขึ้น

Commercial Intent Keyword เป็นคำค้นที่เกี่ยวกับสินค้าและบริการอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการหาข้อมูลรายละเอียดของสินค้าโดยเฉพาะ เช่น ชื่อสินค้า รุ่น ยี่ห้อ และรีวิวสินค้า นอกจากนี้ยังมีคีย์เวิร์ดที่กระตุ้นให้ลูกค้าเป้าหมายตั้งใจค้นหาเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการในทันที เช่น ซื้อ จอง ขาย เช่า หรือพร้อมส่ง

Question Keyword เป็นคีย์เวิร์ดเชิงคำถามที่เน้นค้นหาคำถามพื้นฐานที่ลูกค้าเป้าหมายสนใจอยากรู้ข้อมูลเชิงลึงแบบจริงจังเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจริง ๆ เช่น คืออะไร ทำอย่างไร ใช้ดีไหม เหมาะกับการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดแบบยาวเป็นกรุ๊ปหลายคำ

Niche long-tail Keyword การหาคีย์เวิร์ดเฉพาะเจาะจง เช่น รองเท้ากีฬาผู้หญิง หรือผักออแกนิกปลอดสารพิษ ทำให้ทราบว่าลูกค้าเป้าหมายต้องการข้อมูลลักษณะไหน ต้องใช้คีย์เวิร์ดอะไรและนำเสนอเนื้อหาแบบไหนเพื่อให้ขายสินค้าหรือบริการได้

Buyer Journey Keyword เป็นคีย์เวิร์ดที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกค้า เช่น อยากรู้ กำลังสนใจ เลือกซื้อ หรือมีข้อสงสัย การหาคีย์เวิร์ดที่ดีทำให้รู้ความต้องการแน่ชัดของลูกค้าและเพิ่มปริมาณคนค้นหามาก มีความได้เปรียบคู่แข่งส่งผลให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีขึ้น

หากไม่มีการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดแล้ว เว็บไซต์ส่วนใหญ่มักจะใช้คำค้นหาสินค้ากว้างๆ เช่น เสื้อกีฬา รองเท้าผู้หญิง ซึ่งเป็นเป็นคำไม่เฉพาะเจาะจงที่เว็บไซต์ไหน ๆ ก็ใช้กัน แม้จะมีปริมาณค้นหาสูงแต่คู่แข่งจำนวนมากจึงทำการตลาดยาและไม่ใช่คีย์เวิร์ดที่ทำเงินได้ แต่ถ้าใช้คีย์เวิร์ดตามคำแนะนำข้างต้นที่มีข้อมูลที่ระบุถึงสินค้าเฉพาะเจาะจง ทำให้มีโอกาสเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการซื้อจริง ๆ ยกตัวอย่างเช่น การรีวิวที่พักริมทะเล ใช้คำว่ารีสอร์ตเกาะพีพี ดำน้ำ ดูปะการัง เพิ่มคำว่า ราคาถูก เป็นค้นคำที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เท่ากับว่าคีย์เวิร์ดคือสะพานเชื่อมต่อกับความต้องการของลูกค้าทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้นได้นั่นเอง