ทำความรู้จักหลักการทำงานของ Google Algorithm 2021 ที่จะช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น

ทำความรู้จักหลักการทำงานของ Google Algorithm 2021 ที่จะช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น

ในปี 2021 ทาง Google ได้มีการอัปเดตการทำงานของระบบ Algorithm เพื่อปรับปรุงการจัดอันดับเว็บไซต์ต่าง ๆ บนหน้าแสดงผลการค้นหาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้การทำ SEO ที่อิงอยู่กับหลักเกณฑ์การให้คะแนนของระบบ Algorithm แบบเก่า อาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไป ฉะนั้น หากผู้สร้างเว็บไซต์ไม่ปรับปรุงเนื้อหาหรือคอนเทนต์ในเว็บไซต์ให้อัปเดตตามระบบ Algorithm แล้ว ก็อาจส่งผลให้หลุดจากการจัดอันดับเว็บไซต์ได้ง่าย ๆ วันนี้เราจึงจะพาไปทำความรู้จักหลักการทำงานของ Google Algorithm 2021 ที่จะช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น

1.ต้องรองรับการเข้าถึงโดยสมาร์ทโฟน
ปัจจุบัน Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ออกแบบหน้าเว็บให้รองรับการเข้าถึงโดยสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตอย่างมาก ถึงขั้นที่มีการพัฒนา Algorithm ที่ชื่อว่า “Mobile Friendly” ซึ่งทำหน้าที่คอยตรวจจับและให้คะแนนเว็บไซต์ที่รองรับการเข้าถึงผ่านสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะ ฉะนั้น ใครที่กำลังคิดจะทำ SEO จึงควรพิจารณาในข้อนี้เป็นอันดับแรก เช่น ตัวหนังสือไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป สามารถอ่านในสมาร์ทโฟนได้แบบสบายตา หรือการจัดหน้าเว็บไซต์ที่ไม่ซับซ้อน สามารถเข้าสู่หน้าอื่น ๆ บนเว็บได้ง่าย เป็นต้น

2.เวลาที่ใช้โหลดหน้าเว็บไซต์
เว็บไซต์ที่ใช้เวลาโหลดหน้าเว็บนานเกินไป อาจทำให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมรู้สึกรอนานจนออกจากหน้าเว็บไปก่อนที่จะโหลดเสร็จ ซึ่งนี่เป็นสัญญาณเตือนว่า เว็บไซต์ของคุณจะเสียคะแนนเมื่อมีการจัดอันดับเว็บไซต์โดย Algorithm ของ Google ซึ่งส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณหลุดจากหน้าแรกได้ง่าย ๆ

3.การตอบสนอง
การตอบสนองของหน้าเว็บไซต์ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการคลิก หรือการเลื่อนขึ้น-ลง ที่ควรมีความเสถียร ไม่ช้าเกินไป หรือมีอาการค้าง เพราะหากเว็บไซต์มีการตอบสนองช้าเกินไปหรือไม่มีความเสถียร ระบบ Algorithm ของ Google ก็อาจมองว่าเว็บไซต์ของคุณไม่เป็นมิตรและสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อผู้ใช้งาน ซึ่งก็อาจทำให้เว็บไซต์ของคุณเสียอันดับดี ๆ ที่เคยมีได้นั่นเอง

4.ความเสถียรรูปภาพ และเนื้อหา
รูปภาพและข้อความต่าง ๆ ที่อยู่ในเว็บไซต์ควรมีความเสถียร ไม่ควรใช้เวลาโหลดนานเกินไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีตลอดการเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ โดยรูปภาพและข้อความต่าง ๆ ควรใช้เวลาโหลดไม่เกิน 3 วินาที เพราะหากนานกว่านั้น ระบบ Algorithm ของ Google ก็อาจมองว่าเว็บไซต์ของคุณไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน ซึ่งจะทำให้เสียคะแนนการจัดอันดับได้

5.โครงสร้างเว็บไซต์
โครงสร้างเว็บไซต์ควรมีระเบียบ ไม่ซับซ้อน เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงได้ง่าย ยิ่งออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ได้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกระตุ้นให้ผู้ใช้งานอยากอยู่เยี่ยมชมในหน้าเว็บไซต์นานขึ้นเท่านั้น และเมื่อเว็บไซต์ของคุณมีผู้ใช้งานค้างอยู่ในหน้าเว็บเป็นเวลานาน ๆ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะได้รับการจัดอันดับดี ๆ จาก ระบบ Algorithm ของ Google นั่นเอง

6.การคัดลอกเนื้อหา
เจ้าของเว็บไซต์บางคนน่าจะคุ้นเคยกับเทคนิคการทำ SEO ให้ติดอันดับด้วยการ “คัดลอก” บทความจากเว็บไซต์ที่ติดอันดับอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งหากเป็นเมื่อสิบปีก่อน วิธีนี้ถือว่าได้ผลอย่างมาก แต่สำหรับปี 2021 ทาง Google ได้พัฒนา Algorithm ที่ชื่อว่า “Panda” ที่จะคอยตรวจจับการคัดเลือกเนื้อหาของเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ แถมเจ้าหมีตัวนี้ยังฉลาดมากซะด้วย เพราะฉะนั้นอย่าคิดลองดีกับมันด้วยการกด Ctrl+C และ Ctrl+V แบบเด็กมัธยมเด็ดขาด แล้วจะหาว่าไม่เตือน!

ถ้าคุณสงสัยว่าอัลกอริทึมต่าง ๆ นั้นทำงานอย่างไร ก็บอกไว้เลยว่า Google เก็บเป็นความลับ ดังนั้น เอาเวลาที่จะหาช่องโหว่ของระบบไปพัฒนาเว็บไซต์และเนื้อหาให้ผู้อ่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด จะส่งผลดีต่อ SEO ได้ในที่สุด

4 เคล็ดลับ เพิ่มผู้ติดตาม Facebook Fanpage ด้วย SEO

4 เคล็ดลับ เพิ่มผู้ติดตาม Facebook Fanpage ด้วย SEO

Facebook เป็น Social media ที่มีจำนวน Users อันดับ 1 ของโลก ทำให้ การสร้าง Facebook Fanpage กลายเป็นพื้นที่สำคัญที่เหล่า Online Marketing และ Online Product ใช้ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ แต่สำหรับผู้ใช้ใหม่ที่ต้องการใช้พื้นที่ Fanpage ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย​ แนะนำให้อ่าน 4 เคล็ดลับทำ SEO บน Fanpage ต่อไปนี้จะทำให้มีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

1.ให้ความสำคัญกับการเลือกรูป Logo และภาพปก
แม้ว่าการตั้งชื่อแฟนเพจจะมีความสำคัญในการทำ SEO แต่หากตั้งชื่อด้วย Keyword (คำค้นหา) เพียงอย่างเดียวแต่ละเลยความสำคัญของโลโก้และรูปปกก็ทำให้กลุ่มเป้าหมายหมดความสนใจได้ การให้ความสำคัญกับการทำโลโก้และรูปปกที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการทำเพจจะช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า​ รวมถึงช่วยในการตัดสินใจกดปุ่มติดตามด้วย

2.สร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจแต่ไม่ต้องยาว
ว่าจะเป็นการเขียนคำอธิบายแฟนเพจหรือการสร้างคอนเทนต์บนแฟนเพจควรนำเทคนิค SEO พื้นฐานมาใช้ คือ การแทรกเนื้อหาด้วยคีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพและผ่านการวิเคราะห์มาแล้วและไม่ควรมีความยาวมากเกินกว่า 300 คำ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ใช้งาน Facebook โดยส่วนใหญ่มักใช้ Facebook เพื่อฆ่าเวลา ดังนั้นการสร้างคอนเทนต์ที่มีความยาวมากเกินไปก็ทำให้ Fanpage หมดความน่าสนใจได้ นอกจากนี้การให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอบ่อย ๆ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ Fanpage มีความน่าสนใจและเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้มีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นได้

3.ทุกครั้งที่โพสต์รูปลง Fanpage ต้องแก้ไขคำอธิบายภาพทุกครั้ง
ในปี ค.ศ.2021 Facebook มีการปรับลูกเล่นบน Fanpage ให้มีความคล้ายคลึงกับการทำเว็บไซต์มากขึ้น​ ทำให้การโพสต์ภาพลงแฟนเพจในปัจจุบันจึงเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ Facebook เพิ่มขึ้นมาเพื่อรองรับการแสดงผลบน Search Engine มากขึ้น โดยเราสามารถเพิ่มปริมาณการเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายได้ด้วยการแก้ไขคำอธิบายภาพด้วยการแทรกคีย์เวิร์ดที่ต้องการ

4.โพสต์คอนเทนต์ในช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายออนไลน์
แม้ว่าคนยุคใหม่จะมีพฤติกรรมในการออนไลน์บน Social media เกือบตลอดเวลา แต่เพื่อให้การโพสต์คอนเทนต์เกิดประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด การให้ความสำคัญกับช่วงเวลาในการโพสต์เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เช่น หากทำเพจเกี่ยวกับอาชีพเสริมสำหรับพนักงานประจำก็ควรเลือกโพสต์คอนเทนต์ในช่วงเวลาพักกลางวันหรือเวลาเลิกงาน เป็นต้น เนื่องจากการโพสต์ถูกเวลาจะทำให้กลุ่มเป้าหมายมีโอกาสเห็นโพสต์ของเราได้มากกว่า

ไม่ว่าจะต้องการทำการตลาดบน Platform ไหนก็ตาม การนำความรู้เกี่ยวกับ Search Engine Optimization หรือ SEO ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น ดังนั้นการหมั่นอัปเดตเทรนด์การทำ SEO บน Platform ต่าง ๆ เพื่อหาวิธีที่มีประสิทธิภาพและทันยุคสมัย​ จะทำให้มีจำนวนผู้ติดตามเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ให้กับหน้าเพจบน Facebook

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ให้กับหน้าเพจบน Facebook

การเปิดเพจใน Facebook เพื่อขายสินค้าออนไลน์เป็นช่องทางที่นิยมมาก เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายอย่างการจดโดเมนและเช่าโฮสติ้งเว็บไซต์ปีละนับพันบาท แถมคนไทยจำนวนหลายล้านคนก็มีบัญชี Facebook สำหรับการหาข้อมูลต่าง ๆ และการซื้อสินค้าและบริการเป็นประจำด้วย การทำ SEO ให้กับเพจร้านค้าบน Facebook จึงเป็นช่องทางที่ช่วยให้เพจของคุณถูกค้นเจอง่ายและได้รับยอดสั่งซื้อตามมามากขึ้น เรามาดูกันว่ามีประเด็นใดบ้างที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ให้หน้าเพจบน Facebook

1.SEO ของ Facebook และ Google ไม่เหมือนกัน
กล่าวได้ว่า ระบบ algorithm ของ Google และ Facebook มีความแตกต่างกันตามแนวทางของทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาระบบ และทั้งสองยังเป็นคู่แข่งทางธุรกิจระดับโลกด้วย การทำเพจบนเฟซบุ๊กจึงต้องศึกษาแนวทางอย่างละเอียด ว่าระบบอัลกอริทึมมีการเก็บข้อมูลแบบใดบ้าง และทำ SEO ใน Facebook อย่างจริงจังอย่างน้อย 6 เดือน จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

2.หา keyword SEO ให้กับหน้าเพจบน Facebook
การใช้ keyword SEO ใน Facebook ต้องเลือกจากคำที่มีคนนิยมพิมพ์ค้นหาผ่านทางแอปพลิเคชัน ซึ่งมีการวิจัยพบว่า การใช้คีย์เวิร์ดที่มีความยาวมาก มีรายละเอียดเฉพาะเจาะจง เช่น ระบุแบรนด์ สีสัน ราคา เพศผู้ใช้ ของสินค้านั้น ๆ จะทำให้ได้รับความนิยมสั่งซื้อมากกว่าการตั้งคีย์เวิร์ดแบบกว้าง ๆ

3.สร้างลิงก์เชื่อมโยงบ่อย ๆ
คุณต้องเพิ่มโอกาสในการเชื่อมโยงลิงก์เข้ามาที่หน้าเพจ Facebook บ่อย ๆ ด้วยการเข้าร่วมกลุ่มที่มีคนรวมตัวกันจำนวนมาก ๆ เช่น คุณขายเสื้อผ้าของใช้ทารก ก็ควรสมัครเข้าเป็นสมาชิกในกลุ่มแม่และเด็ก คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพ ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนนับร้อยกลุ่มบน Facebook เพื่อเกิดการปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ต่าง ๆ และเป็นการประชาสัมพันธ์เพจของคุณไปในตัวด้วย หากมีลูกค้าสนใจ ก็สามารถที่จะแนบลิงก์แนะนำเพจคุณได้ หากไม่ผิดกฎกติกาของกลุ่ม

4.อัปเดตบทความใหม่ ๆ เสมอ
การนำเสนอบทความ SEO ใหม่ ๆ เป็นประจำ โดยใส่คีย์เวิร์ด SEO หรือติด tag ยอดนิยมแทรกระหว่างบทความ เป็นเทคนิคสำคัญที่ทุกเพจ Facebook ต้องทำ หากจะรักษาอันดับ SEO ให้ดี เพราะดีต่อการเก็บข้อมูลของอัลกอริทึม และยังแสดงถึงการใส่ใจทำเพจขายสินค้าอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในการเข้ามาสั่งซื้อสินค้าจากเพจของคุณมากยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO ให้กับแฟนเพจบน Facebook เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาอยู่หลายประการ และสามารถทำควบคู่กับการซื้อพื้นที่โฆษณาบน facebook ที่จ่ายเป็นรายครั้งได้ อย่างไรก็ตาม หากทำ SEO ได้อย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาใน Facebook ลงไปได้ เนื่องจากระบบการแสดงผลตาม algorithm จะเป็นแบบออแกนิค เพจที่มีคุณภาพสูงจะถูกนำเสนอชื่ออยู่ในอันดับแรก ๆ เกือบตลอดเวลาอยู่แล้ว

รวมเหตุที่เจ้าของธุรกิจทุกคนควรทำ SEO

รวมเหตุที่เจ้าของธุรกิจทุกคนควรทำ SEO

เชื่อว่าในยุคนี้ไม่มีใครไม่รู้จักการทำ SEO เพราะนี่คือเทรนด์การตลาดออนไลน์ที่กำลังมาแรงและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง ทำให้หลายธุรกิจที่ไม่เคยคิดทำ SEO กลับต้องหันมาทำการตลาดออนไลน์วิธีนี้ดูบ้าง โดยเฉพาะยุคที่มีการแข่งขันในทุกธุรกิจ และสำหรับใครที่ยังไม่รู้จักว่าการทำ SEO คืออะไร ลองมาดูความหมายพร้อมเหตุผลที่เจ้าของธุรกิจควรทำ SEO เพื่อความสำเร็จระยะยาว

SEO คืออะไร
หากจะให้อธิบายแบบง่าย ๆ ต้องบอกว่า SEO คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นมาอยู่อันดับต้น ๆ ของ Search Engine โดยเฉพาะ Search Engine ยอดนิยมอย่าง Google, Yahoo หรือ Bing ซึ่งแน่นอนว่าหากลูกค้ากดค้นหาและเจอเว็บไซต์ธุรกิจคุณอยู่อันดับต้น ๆ หรือติดอันดับในหน้าแรกจะมีข้อดีตามมาหลายอย่างอย่างแน่นอน

เหตุผลที่เจ้าของธุรกิจควรทำ SEO

  • ธุรกิจเป็นที่รู้จัก
    การทำ SEO นั้น แน่นอนว่าเจ้าของธุรกิจทุกคนต้องคาดหวังให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและมีผู้คลิกเข้าชมเว็บไซต์มากกว่าเดิม ซึ่งการทำ SEO ย่อมเป็นตัวช่วยตอบโจทย์นี้ได้ เพราะเมื่อวันหนึ่งเว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Search Engine โอกาสการมองเห็นจะเพิ่มขึ้นและเมื่อผู้ใช้งานเห็นเว็บไซต์คุณบ่อย ๆ ย่อมทำให้เป็นที่รู้จักอย่างแน่นอน
  • เว็บไซต์น่าเชื่อถือ
    ลองคิดตามว่าหากลูกค้าค้นหาสินค้าหรือบริการและเจอเว็บไซต์คุณติดอันดับต้น ๆ ของ Search Engine นอกจากจะช่วยเพิ่มจำนวนคลิกแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับความนิยมและมีความน่าเชื่อถือจนทำให้ติดหน้าแรก ยิ่งหากคลิกเข้าสู่เว็บไซต์แล้วเจอคอนเทนต์ดี ๆ และบริการที่มีประโยชน์ ยิ่งเพิ่มความมั่นใจได้อีกเท่าตัว
  • จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น
    พฤติกรรมของผู้ใช้ Search Engine มักคลิกไปยังเว็บไซต์ที่ปรากฏอันดับต้น ๆ เสมอ เนื่องจากไม่อยากคลิกหน้าถัดไปให้เสียเวลา เพราะฉะนั้นการที่เว็บไซต์ติดอับดับแรก ๆ นอกจากเพิ่มความน่าเชื่อถือแล้ว ยังเพิ่มจำนวนคลิก เป็นผลทำให้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น และหากผู้ใช้งานอยู่ในเว็บไซต์ของคุณนาน ๆ ยังช่วยเพิ่มคะแนนจาก Search Engine ได้อีกด้วย
  • ประหยัดค่าโฆษณา
    แม้ว่าการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน แต่ถึงอย่างนั้นก็นับเป็นวิธีที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการซื้อโฆษณารวมถึงใช้งบประมาณน้อยกว่าการทำ SEM ที่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณากับ Search Engine อีกทั้งการซื้อโฆษณาอาจให้ผลลัพธ์ระยะสั้น ในขณะที่การทำ SEO กลับให้ผลลัพธ์ระยะยาว

สำหรับธุรกิจใดที่ยังไม่ได้ทำ SEO บอกเลยว่าห้ามมองข้ามการทำการตลาดออนไลน์วิธีนี้เด็ดขาด เพราะจะช่วยให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักระยะยาวและมีโอกาสปั้นธุรกิจให้เติบโต นอกจากนี้ อย่าลืมทำ SEO ร่วมกับการทำการตลาดออนไลน์วิธีอื่นควบคู่ไปด้วย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง

เคล็ดลับทำ SEO ปรับปรุงเนื้อหาอย่างไรดึงดูดผู้ใช้มากขึ้น

เคล็ดลับทำ SEO ปรับปรุงเนื้อหาอย่างไรดึงดูดผู้ใช้มากขึ้น

การทำ SEO หมายถึงกระบวนการทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักรวดเร็ว มีผู้ใช้งานจำนวนมาก และเว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ของการค้นหาบนเสิร์ชเอนจิ้นอย่าง Google เคล็ดลับการทำ SEO ส่วนใหญ่มีคำแนะนำมากมาย เช่น “เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ” และ “ใช้คีย์เวิร์ดยอดฮิต” รวมทั้ง “ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้” หลายเว็บไซต์แนะนำให้เห็นความผิดพลาดที่เคยทำมาก่อน ช่วยหาหนทางที่ถูกต้อง มีประสิทธิภาพที่สุด ที่สำคัญคือนำไปใช้ได้จริง โดยเรามีเคล็ดลับดี ๆ มาฝากกันดังนี้

1.ปรับปรุงเนื้อหาใส่คีย์เวิร์ดในตำแหน่งเหมาะ การเขียนเนื้อหาบทความส่วนใหญ่ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ฉบับร่าง จะต้องมีการใส่คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ปริมาณไม่มากเกินไป เริ่มจากการใส่คีย์เวิร์ดหลักลงในชื่อ URL ของเว็บไซต์ 2-3 หน้า รวมทั้งในชื่อบทความและพารากราฟแรกเพื่อให้ติดอับดับในแต่ละหน้านั้น การแทรกคีย์เวิร์ดในตำแหน่งหลัก ๆ ต้องไม่พลาดใส่คำสำคัญครอบคลุมหัวข้อย่อยของบทความด้วยจะช่วยปรับปรุงการจัดอันดับคีย์เวิร์ดหลักทำให้ Google เห็นว่าหน้าเว็บนั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

2.ส่งอีเมลและสร้างลิงก์ถึงทุกคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้า การสร้างแบ็กลิงก์ย้อนกลับเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของเสิร์ชเอนจิ้น แม้จะเป็นงานน่าเบื่อแต่จำเป็น เพราะการสร้างลิงก์คุณภาพทำให้มีโอกาสดึงดูดผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าในอนาคตได้ง่ายขึ้น โดยค้นหาจากอีเมลแสวงหาลูกค้าเป้าหมายแล้วโน้มน้าวให้เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ แนะนำว่าไม่ควรเขียนขอลิงก์ในอีเมล แต่แจ้งข่าวความเคลื่อนไหวและโปรโมทบทความให้ลูกค้าเข้ามาอ่าน หากบทความเขียนได้ดีเนื้อหามีเอกลักษณ์ ผู้อ่านจะชื่นชมและแชร์ออกไป ทำให้มีผู้เยี่ยมชมมากขึ้น

3.เพิ่มลิงก์ภายในจากหน้าหนึ่งในเว็บไซต์ไปยังอีกหน้าหนึ่ง ช่วยนำทางให้ผู้เยี่ยมชมเข้าไปอ่านเนื้อหาในหน้าต่าง ๆ กระจายทั่วเว็บไซต์ เป็นการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี ใช้งานง่าย เป็นที่พอใจของลูกค้า เจ้าของเว็บไซต์ควรกำหนดอันดับ URL ของแต่ละเพจเพื่อจัดลำดับความสำคัญของแต่ละหน้าและเพิ่มลิงก์ภายในจากเพจสำคัญที่สุดไปยังเพจย่อยอื่น ๆ

4.ตรวจสอบเนื้อหาประจำปีเพื่อปรับปรุงใหม่ บางบทความอาจใช้เนื้อหาเดิมได้แต่ควรปรับเปลี่ยนคีย์เวิร์ดที่ทันสมัยมากขึ้น วิเคราะห์หน้าเพจทั้งหมดในเว็บไซต์เพื่อดูว่าควรเก็บเพจไหนเอาไว้ เพจไหนดีอยู่แล้ว และเพจไหนควรอัปเดตข้อมูลใหม่ ควรประเมินไปทีละหน้าเพจ หน้าสำคัญต้องเก็บไว้แม้ว่าจะมีผลต่อการทำ SEO เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยก็ตาม จากนั้นลบเพจที่ไม่ต้องการแล้วออกไป การปรับปรุงโครงสร้างและเนื้อหา จะทำให้ผู้ใช้งานพอใจเว็บไซต์มากขึ้นแน่นอน

5.เปลี่ยนบล็อกโพสต์เป็นวิดีโอ ทุกวันนี้คนอ่านหนังสือน้อยลง บ้างก็ชอบรูปแบบเนื้อหาที่แตกต่างกัน ควรปรับปรุงใหม่ให้ตรงกับความชอบของลูกค้าในวงกว้าง หากโพสต์บทความไหนมีผู้เข้าชมจำนวนมาก อาจฝังวิดีโอเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้เข้าชมมากขึ้น

สิ่งสำคัญนอกเหนือจากเทคนิคที่กล่าวมาคือ ทำ SEO ต้องทำเพื่อประสบการณ์ของผู้ใช้ แล้วทุกอย่างจึงจะครบองค์ประกอบทำให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้

เหตุผลที่ธุรกิจควรทำ SEO ให้เว็บไซต์เติบโต กระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง

เหตุผลที่ธุรกิจควรทำ SEO ให้เว็บไซต์เติบโต กระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง

ทุกวันนี้เจ้าของธุรกิจจัดทำเว็บไซต์โดยปรับแต่งให้สอดคล้องกับเครื่องมือค้นหาหรือ SEO ทำให้กิจการเป็นที่รู้จักแพร่หลาย สามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายมากขึ้นและกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้น นั่นคือเหตุผลหลักที่ควรทำ SEO ด้วยการจ้างทีมงานมืออาชีพเข้ามาปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหาหลัก เช่น Google, Yahoo, Bing เป็นต้น แม้ว่า SEO จะต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ให้ประโยชน์คุ้มค่า ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะยาว

เหตุผลแรกที่ธุรกิจควรทำ SEO คือปรับปรุงเว็บไซต์ให้เป็นประโยชน์กับผู้ใช้ เพราะเข้าใจว่าผู้ใช้ต้องการอะไรจึงออกแบบโครงสร้างเว็บเพจที่ใช้ง่าย ผู้ใช้งานไม่สับสน สามารถค้นเจอข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็ว ความคาดหวังของผู้ใช้เป็นสิ่งสำคัญ ลองนึกว่าตนเองเข้าเว็บไซต์แล้วไม่พบสิ่งที่ต้องการหรือต้องเสียเวลามาก ก็มักจะออกจากเว็บไซต์และไม่กลับมาใช้งานอีก Google ติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้อยู่ตลอดเวลา ถ้าลูกค้าเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์เพียงช่วงสั้น ๆ จะถูกประเมินว่าได้รับประสบการณ์ที่ไม่น่าพอใจเท่าที่ควร แต่ถ้ามีการใช้งานซ้ำอีกบ่อย ๆ หมายถึงเว็บไซต์เป็นมิตรกับผู้ใช้และสร้างความพอใจ ซึ่งจะทำให้ได้รับการจัดลำดับที่ดีขึ้น

การทำ SEO ไม่เพียงทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักเท่านั้น แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือด้วย ซึ่งการยอมรับจากลูกค้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่ถ้าเว็บไซต์ใช้ง่ายและมีผู้เข้าชมจำนวนมากเข้าใช้บริการอย่างต่อเนื่องย่อมการันตีความน่าเชื่อถือและมีแนวโน้มที่จะขายได้มากขึ้น

อีกเหตุผลคือการทำ SEO ช่วยกำหนดเป้าหมายกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจง รู้ว่าต้องการอะไรและกำลังค้นหาข้อมูลแบบไหน จากนั้นกำหนดคีย์เวิร์ดให้ตรงจุดจากการค้นหาเทรนด์ของสินค้ายอดนิยม สิ่งที่น่าสนใจ ตลอดจนสถิติคำค้นหาที่ใช้กันมากเพื่อวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพ ทั้งคำหลักและคำรองที่เชื่อมโยงไปยังข้อมูลที่เกี่ยวข้องซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ผู้ใช้งานค้นหาสิ่งที่พอใจได้มากที่สุด นั่นเท่ากับว่าวางแผนกลยุทธ์ SEO ได้ถูกต้องและเพิ่มโอกาสในการขายง่ายขึ้น

อีกเหตุผลที่สนับสนุนการทำ SEO คือช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางดึงดูดลูกค้าท้องถิ่นมากขึ้น โดยปรับเนื้อหาของเว็บไซต์เพื่อตอบคำถามที่ตรงความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น อาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์ระหว่าง 6-12 เดือนนับจากวันที่เริ่มปรับปรุงเว็บไซต์ ซึ่งเกิดประโยชน์ต่อเนื่องไปอีกหลายปี ข้อมูลเหล่านี้เป็นเหตุผลหลักที่ต้องลงทุนทำ SEO ให้เว็บไซต์มีประโยชน์ต่อลูกค้าและสร้างความพอใจสูงสุดเพื่อเพิ่มยอดคนเข้าใช้และเพิ่มปริมาณยอดขายโดยรวม ช่วยให้ธุรกิจขยายตัวไปอย่างต่อเนื่อง

การทำ SEO เป็นกลยุทธ์ระยะยาวซึ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการโฆษณาผ่านสื่อกระแสหลัก นับเป็นหนึ่งในประโยชน์สูงสุดของการทำ SEO โดยเฉพาะต่อธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้นจะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ จะช่วยลดต้นทุนโฆษณาด้วยการจ้างทีมงานมืออาชีพเข้ามาดูแล SEO เรียกว่าลงทุนไม่สูงเท่าโฆษณาทางตรง แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

5 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ SEO

5 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ SEO

การทำ SEO เป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในปี 2020 สำหรับนักธุรกิจออนไลน์มือเก่าและใหม่ให้มีอำนาจแข่งขันทางการตลาดสูงขึ้นในช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด ทั้งนี้ มี 5 เรื่องสำคัญที่เราได้รวบรวมมาฝากกันเกี่ยวกับ SEO ดังนี้

1.SEO ทำเองได้
การทำ SEO ให้เว็บไซต์ออนไลน์หรือเพสในเฟซบุ๊ก สามารถเรียนรู้ได้เองจากเว็บไซต์ให้ความรู้และคลิปยูทูปมากมายที่ผู้เชี่ยวชาญผลิตออกมาในช่วงไวรัสโควิดระบาด หากคุณต้องการประหยัดก็สามารถศึกษาด้วยตนเองได้ แต่ก็ต้องยอมแลกกับเวลาที่ต้องทุ่มเทกับการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน

2.การจ้างทำ SEO
บริษัทรับทำ SEO มีอยู่มากมาย ไม่ควรเลือกที่ราคาถูกเท่านั้น ต้องพิจารณาจากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการทำ SEO และบริการหลังการขาย เช่น การรักษาผลอันดับ SEO ได้นานอีก 1-3 เดือนหลังหมดสัญญา การทำรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ ฯลฯ จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการจ้างงานคุ้มค่าและป้องกันกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงได้

3.ทำ SEO สายขาว
การทำ SEO สายขาว คือ การทำตามแนวทางที่ Google กำหนด เช่น การทำโครงสร้างเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายทั้งกับระบบคอมพิวเตอร์และมือถือ การมีระบบอีคอมเมิร์ซที่รัดกุมและรักษาความลับลูกค้าได้อย่างดี การมีบทความที่ไม่ได้คัดลอกมาจากแหล่งอื่น ให้ความรู้และประโยชน์แก่ผู้อ่าน การมีคลิปเพื่อสนับสนุนการขายโดยไม่นำภาพหรือวิดีโอที่ตัดต่อบางส่วนจากคลิปผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น

4.ค่าใช้จ่ายในการทำ SEO
หากทำ SEO เอง ก็เรียกได้ว่าแทบไม่มีค่าใช้จ่ายเลย แต่หากจ้างบริษัททำ จะมีการคิดค่าใช้จ่ายตาม keyword กล่าวคือ หากเป็นคำที่มีการสืบค้นมากและมีคู่แข่งธุรกิจจำนวนมากที่ต้องการใช้คำนี้ จะมีการเรียกค่าใช้จ่ายที่สูงมากขึ้นตามไปด้วย และหากต้องการให้ผลการสืบค้นผ่าน Google พบเว็บไซต์คุณเป็นอันดับต่างกัน ก็มีผลต่อราคาด้วย เช่น ต้องการให้ติดอันดับ 1 ใน 3 ก็จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นราวเดือนละสามหมื่นบาท ส่วนอันดับ 1 ใน 10 จะมีค่าใช้จ่ายที่ 4,000-5,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

5.ทำคู่กับ SEM ได้
การทำ SEO สามารถทำคู่กับ SEM หรือการโฆษณาผ่านเสิร์ชเอ็นจิ้นได้ หากต้องการให้มีลูกค้าอุดหนุนตลอดปี โดยเน้นเร่งการขายในช่วงเทศกาลก็สามารถซื้อพื้นที่โฆษณาเสริมได้ เช่น ช่วงเทศกาลคนโสด วันที่ 11 เดือน 11 ก็สามารถทำโปรโมชันพิเศษ และเร่งประชาสัมพันธ์รับออเดอร์ได้ โดยไม่ละทิ้งการทำ SEO เพื่อให้ลูกค้าที่ค้นหาสินค้าผ่านคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ยังเห็นแบรนด์สินค้าหรือเว็บไซต์ของคุณอยู่เสมอ

การทำ SEO เป็นสิ่งสำคัญที่นักธุรกิจยุคใหม่ต้องสนใจ เพื่อเพิ่มยอดขาย สร้างความจดจำแบรนด์ และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจากเดิม ทำให้มีอำนาจในการแข่งขันกับคู่แข่งมือเก่าและใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนการทำเองหรือจ้างทำ SEO เพื่อให้คุ้มค่ากับเวลาและค่าใช้จ่ายมากที่สุด

3 สิ่งที่ควรรู้ ก่อนการทำ SEO แบบต้นทุนน้อยในปี 2020

3 สิ่งที่ควรรู้ ก่อนการทำ SEO แบบต้นทุนน้อยในปี 2020

การทำการตลาดมีด้วยกันหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Facebook, Twitter หรือ Instagram แต่สิ่งที่คนขาดไม่ได้เลยและมีมานาน 10 – 20 ปี คือการทำ SEO ที่มี search engine โดยในประเทศไทยที่ใช้กันอยู่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จะเป็น Google จุดประสงค์เพื่อให้อยู่ในผลการค้นหาหน้าแรกของ Google เพราะน้อยมากที่จะมีผู้คนเข้าไปดูในหน้าที่สอง จนทำให้ผู้คนได้กล่าวไว้ว่า ถ้ามีคนเข้าเว็บไซต์เมื่อไหร่ก็จะทำเงินได้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาบอก 3 สิ่งที่ควรรู้ก่อนการทำ SEO แบบต้นทุนน้อยในปี 2020 ดังต่อไปนี้

1.เว็บไซต์จะต้องรองรับมือถือ

การทำ SEO แบบต้นทุนต่ำ เริ่มต้นจะต้องเช็คว่าเว็บไซต์รองรับโทรศัพท์มือถือได้หรือไม่ ด้วยการเข้ามาที่เว็บไซต์ https://search.google.com/test/mobile-friendly จากนั้นให้ป้อนเว็บไซต์ของคุณแล้วกดปุ่ม “URL ทดสอบ” เมื่อตรวจสอบว่ารองรับมือถือแล้ว ก็สามารถทำ SEO ในขั้นตอนอื่น ๆ ต่อไปได้เลย

2.การทำ SEO มี 2 แบบ

แบบที่หนึ่ง Off page SEO เป็นการสร้าง Backlink ซึ่งเป็นลิงก์ที่เชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ สำหรับวิธีการก็จะเป็นการโพสต์เว็บบอร์ด โพสต์ Blog และแลกลิงก์กับเว็บไซต์อื่น ๆ ส่วนแบบที่สอง On page SEO เป็นปัจจัยภายในหรือการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ตรงกับข้อกำหนดของ Google โดยแต่ละหน้าเว็บเพจจะมีคีย์เวิร์ดหลักประมาณ 3 – 5 คำ ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษให้ติด Google เช่น คีย์เวิร์ดชื่อเรื่อง คีย์เวิร์ดขึ้นต้นบทความ หรือจัดอยู่ในช่วงบรรทัดแรก โดยความยาวของบทความอยู่ที่ประมาณ 500 คำขึ้นไป การทำลิงก์ภายในไปยังหน้าบทความอื่น ๆ ด้วยคีย์เวิร์ดของบทความ การใส่ชื่อที่รูปภาพ, ค่า Alt (alternate text) และใส่ชื่อ Title ที่ภาพด้วย ถ้ามีมากกว่า 1 รูป เป็นต้น

3.การทำ SEO เพิ่มผู้เข้าชมเว็บในระยะยาว

การติดอันดับในหน้าแรก Google จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเพิ่มผู้เข้าชมเว็บในระยะยาว ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีผลค่อนข้างมาก ที่สำคัญเป็นการทำการตลาดออนไลน์ที่ใช้ต้นทุนน้อยหรือไม่ต้องเสียค่าโฆษณาทางตรง และเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เพิ่มลูกค้า และช่วยเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นเพราะฉะนั้นจึงต้องทำความเข้าใจถึงความสำคัญของการทำ SEO ซึ่งจะรวมไปถึงการออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับมือถือ มีความรวดเร็วในการโหลดข้อมูลตัวอักษร ภาพ หรือวิดีโอ มีคุณภาพของบทความในส่วนหัวข้อและเนื้อหา โดยเฉพาะคีย์เวิร์ดสำคัญที่ต้องค้นคว้าและเน้นลงในแต่ละหน้าเว็บเพจ

การทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นกระบวนการระยะยาว และครอบคลุมทุกองค์ประกอบในการทำเว็บไซต์ หากทำได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง ก็จะช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ของธุรกิจมีผู้ชมเข้ามาเยี่ยมชมในปริมาณมาก ลดต้นทุนการประชาสัมพันธ์ และมีโอกาสสร้างยอดขายให้เติบโตได้

เข้าใจหลักการ SEO ได้ง่ายขึ้น

ความรู้เบื้องต้นให้คุณเข้าใจหลักการ SEO ได้ง่ายขึ้น

การมีเทคนิคในการทำ SEO จะช่วยให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นและส่งผลต่ออันดับที่ดี คุณจำเป็นต้องศึกษาพอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องของการทำ SEO ให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ด ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีความรู้เบื้องต้นให้คุณเข้าใจหลักการ SEO ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการผลักดันโพสต์หรือหน้าเว็บเพจของคุณให้ติดอันดับต้น ๆ ในหน้าผลการค้นหา โดยมี 4 เรื่องที่ควรรู้ไว้เป็นพื้นฐาน

content ที่ไม่ไปคัดลอกหรือ copy จากใคร

Google เน้นในการทำ content ที่มีประโยชน์ หมายความว่า ต้องเป็น content ที่ไม่ไปคัดลอกหรือ copy จากใคร เพราะฉะนั้นเนื้อหาที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ควรเป็น content ที่เขียนเองหรือเรียบเรียงใหม่และมีองค์ประกอบอย่างครบถ้วน กล่าวคือ มีการแทรกคำคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการเน้น รวมถึงใส่ภาพหรือวิดีโอประกอบอย่างเหมาะสม เพื่อให้เนื้อหามีประโยชน์ต่อผู้อ่าน

เขียนบทความที่ดี

การเขียนบทความที่ดีควรจะมีเนื้อหาหรือเรื่องราวไม่ต่ำกว่า 400 คำ โดยจะต้องมีการแทรกคำคีย์เวิร์ดที่เน้นเป็นพิเศษเป็นระยะ ๆ ไม่มากหรือน้อยเกินไป มีการทำตัวอักษรแบบตัวหนาแบบ H1 H2 H3 ในหัวข้อตามลำดับความสำคัญ หรือการเน้นเป็นแบบตัวเอียง รวมถึงการใส่คำอธิบายภาพไว้ใต้ภาพ เมื่อเข้าใจหลักการเขียนบทความที่ดีก็จะทำให้โพสต์ของคุณติดอันดับ Google ได้ไม่ยากเลย แน่นอนว่าเมื่อคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับ HERO88 แต่หากดันไป copy บทความจากเว็บ hero88 อื่น มันย่อมเป็นเรื่องยากที่จะทำอันดับแซงคู่แข่ง

คีย์เวิร์ดจะไต่อันดับได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาของคู่แข่งด้วย

คีย์เวิร์ด คือ คำค้นหาที่คุณต้องการให้ผู้คนค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอ และแน่นอนว่าทุกคำคีย์เวิร์ดที่คิดไว้นั้น ย่อมมีคู่แข่งอยู่แล้ว แต่การทำ SEO จะยากหรือง่ายนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหาของคู่แข่งได้อยู่มาก่อนนานหรือไม่ บางคีย์เวิร์ดอาจจะสู้คู่แข่งไม่ได้เพราะเขาแข็งแกร่งกว่า อยู่มานานกว่า ก็ต้องพยายามแข่งขันในคีย์เวิร์ดอื่น ซึ่งก็ยังมีหนทางที่สามารถสู้กับคู่แข่งได้ในบางคีย์เวิร์ด ดังนั้นแม้อันดับยังไม่ได้ดังใจหวัง ก็ไม่ควรท้อ คิดในแง่ดีว่าการที่มีคู่แข่งก็เหมือนตัวเปรียบเทียบให้เราพยายามทำ SEO ให้ดีกว่าเดิม

ระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงการจัดอันดับ

เมื่อมีการทำ SEO ผ่านไปสักระยะประมาณหนึ่งสัปดาห์ ถ้ากรณีที่คู่แข่งน้อย คุณก็จะเริ่มเห็นแล้วว่ามีการเปลี่ยนแปลงในการจัดอันดับ ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณได้ทำคีย์เวิร์ดเดิมโดยคู่แข่งที่มีอายุโดเมนไม่ต่ำกว่า 1 ปี คุณจำเป็นต้องทำความเข้าใจการทำ SEO มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะในเรื่องการทำ Backlinks เช่น มีการแชร์ไปยัง Social Profile ต่าง ๆ แชร์ไปยัง Facebook Page หรือ Facebook Group บอกเพื่อนฝูงช่วยกันแชร์ comment ตามเว็บไซต์ เว็บบอร์ด โซเชียลต่าง ๆ ในที่เหมาะสม เป็นต้น

เมื่อคุณเข้าใจหลักการ SEO ด้วย 4 ความรู้เบื้องต้นดังกล่าวข้างต้น ก็จะส่งผลให้ Search Engine จัดอันดับการทำ SEO ได้ง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่สามารถกำหนดอันดับได้เอง ไม่มีใครรับประกันว่าจะติดอันดับบนสุดได้หรือไม่ และติดได้เร็วแค่ไหน เพราะระบบการค้นหาของ Google ยังใช้ปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายมาช่วยในการจัดอันดับ แต่อย่างไรก็ตาม การที่คุณได้ทำ SEO ก็ย่อมดีกว่าไม่ได้ทำ

9 วิธี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO

9 วิธี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO

ไม่ว่าธุรกิจประเภทไหนก็ย่อมต้องมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจออนไลน์ที่มีการแข่งขันกันชนิดที่เรียกว่าห้ามกระพริบตาเลยทีเดียว เนื่องจากผลกระทบโดยตรงจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำอย่างหนัก การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาของเทคโนโลยีดิจิทัล และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มปรับตัวหันมาทำการตลาดด้วยระบบดิจิทัล หรือ Digital Marketing กันมากขึ้น แลนี่คือ 9 วิธีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO มาฝากบรรดาผู้ที่สนใจการทำธุรกิจการตลาดแบบออนไลน์

  1. การสร้าง Content ที่มีคุณภาพ และเป็นที่ต้องการของผู้เข้าชมเว็ปไซต์ หากคุณสร้าง Content ซ้ำกับเว็บไซต์อื่น นั่นหมายความว่าอันดับในการค้นหาและพบเจอธุรกิจของคุณก็จะแย่ลงไปด้วย
  2. การจัดวาง Keyword อย่างเหมาะสมกับเนื้อหาของบทความ ปัจจุบันการทำ SEO โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Google จะเน้นเนื้อหาและคีย์เวิร์ดที่ส่งเสริมกันอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่การใส่คีย์เวิร์ดแบบยัดเยียดเหมือนในอดีต
  3. การทำ Long tail Keywords หรือ การใส่คีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาที่มีความเฉพาะเจาะจงสูง และเติมคำต่อท้ายคีย์เวิร์ดหลักที่มีความหมายกว้าง แต่มีความหมายเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น แอลกอฮอล์สำหรับล้างมือ, แอลกอฮอล์ล้างมือขนาดพกพา เป็นต้น จะช่วยเพิ่มกลุ่มเป้าหมายเฉพาะให้กับธุรกิจบริการมากขึ้น
  4. ไม่ควรนำลิงก์ไปใว้ในไดเรกทอรี่ (web directories) เพราะจะทำให้ Google มองว่าลิงก์นั้นเป็น Spam และขาดความน่าเชื่อถือไปในทันที
  5. เลิกทำการตลาดด้วยวิธีไป Comment ต่าง ๆ เพราะการแทรกลิงก์เว็บไซต์ของสินค้าและบริการไว้ตามComment ต่าง ๆ จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะปัจจุบัน Google ถือว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ลิงก์กลายเป็น Spam ไปโดยปริยาย
  6. การทำ Mobile Optimization ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาบนมือถือ เพิ่มโอกาสในการช้อปปิ้งให้แก่ลูกค้ามากขึ้น จากการสำรวจของ Google พบว่า ลูกค้าธุรกิจและบริการนิยมใช้มือถือค้นหาสินค้าและบริการต่าง ๆ มากกว่า การใช้เครื่อง PC และโน้ตบุ๊ก นอกจากนี้ยังพบว่าสถิติในเช้าวันจันทร์มีการใช้งานอุปกรณ์มือถือเพื่อเปิดอีเมลทำงานและช้อปปิ้ง สูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย
  7. การทำ Metadata ของเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้แก่ ข้อมูลรายละเอียดที่อธิบายถึงความเป็นมาของ ธุรกิจ สินค้าและบริการนั้น ๆ เช่น ข้อมูล ชื่อผู้แต่ง ชื่อเจ้าของผลงาน ผู้รับผิดชอบ ปีที่ผลิต ชื่อเรื่องที่เขียน ซึ่งหากมีรายละเอียดที่มากขึ้น ก็จะช่วยให้สะดวกต่อการจัดการและสืบค้นได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
  8. ความยาวของTitle Tags หรือชื่อหน้าของเว็บเพจ ควรอยู่ที่ 10 ถึง 70 characters เพราะโดยปกติ Google จะแสดง Title บนหน้าเพจแสดงผลอันดับการค้นหาในขนาดไม่เกิน 70 ตัวอักษร หากยาวเกินไป Google ก็จะตัดทิ้งโดยอัตโนมัติและไม่แสดงให้เห็นอีก ดังนั้น เทคนิคการใส่คีย์เวิร์ดจำนวนมากในชื่อ Title แบบในอดีต จึงไม่มีผลต่อ SEO ในปัจจุบัน
  9. การสร้าง Content ที่มี Keyword แบบมีคุณภาพ และอัปเดตเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ใน Google มากกว่าการใช้ Keyword แบบเน้นปริมาณ เพราะ Google ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีความสดใหม่ ซึ่งจะได้รับความสนใจอย่างสูงจากผู้ใช้บริการด้วยเช่นกัน