อยากทำธุรกิจออนไลน์สำเร็จ ต้องรู้ความสำคัญของการโปรโมทด้วย SEO

อยากทำธุรกิจออนไลน์สำเร็จ ต้องรู้ความสำคัญของการโปรโมทด้วย SEO

การเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์เป็นเรื่องง่าย ใครก็สามารถมีเพจหรือเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นต้องอาศัยหลายปัจจัย อย่างการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักต้องทำการตลาด โปรโมท แต่หากใครที่พึ่งเริ่มต้นยังไม่พร้อมเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้ เรามีทางเลือกมาเสนอ นั้นคือการเลือกใช้ SEO (Search Engine Optimization) คือ การโปรโมทที่ต้องอาศัยเนื้อหาที่เกี่ยวกับสินค้าของแบรนด์ โดยเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาบ่อยที่สุดในกูเกิ้ลมาประกอบ จึงจะทำให้มีคนเข้ามาในเว็บมากขึ้น หากวันนี้ใครที่กำลังจะเริ่มต้นทำธุรกิจลองไปดูความสำคัญของ SEO กับธุรกิจออนไลน์ว่าเชื่อมโยงกันอย่างไร

เริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ต้องรู้ ความสำคัญของ SEO

1.เว็บไซต์จะเป็นที่รู้จักง่ายขึ้น

การที่เว็บของคุณจะขึ้นอันดับในการค้นหาในกูเกิ้ลได้นั้นขึ้นอยู่ที่การเลือกใช้คีย์เวิร์ด โดยอาศัยโปรแกรมรวมคีย์เวิร์ดต่าง ๆ พร้อมดูอันดับการค้นหาว่า คำใดมีจำนวนผู้ค้นหามากที่สุด เมื่อเลือกนำมาใช้ประกอบในเนื้อหา ไม่นานเว็บของคุณต้องเป็นที่รู้จักอย่างแน่นอน

2. ธุรกิจของคุณจะเติบโตไวแซงหน้าคู่แข่ง

แม้ว่าเรื่องอันดับของเว็บจะสำคัญอย่างมากในการที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้ไว แต่ก็ไม่ควรมองข้ามในเรื่องของเนื้อหาที่มีคุณภาพ แนะนำสินค้าด้วยความสัจจริงและให้ความรู้แก่ผู้บริโภคอย่างครบถ้วน หากเป็นเช่นนั้นจะส่งผลให้สินค้าของคุณมีความน่าเชื่อถือ เป็นการสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคอย่างหนึ่งและธุรกิจจะเติบโตแซงหน้าคู่แข่งไปอย่างยั่งยืนนั่นเอง

3. SEO สร้างการจดจำให้แก่แบรนด์

สิ่งแรกที่จะบอกได้ว่าแบรนด์ของคุณนั้นเป็นที่จดจำมากน้อยแค่ไหน ต้องดูที่จำนวนผู้ที่เข้าเว็บไซต์หรือการค้นหาแบรนด์นั้น ๆ แน่นอนว่าต้องขึ้นอยู่กับการนำเสนอเนื้อหาที่ใช้ SEO เป็นตัวชักนำ พร้อมกับการออกแบบดีไซน์ให้สวยงาม เข้ากับแบรนด์ เพื่อสร้างความน่าสนใจ

4. ประหยัดค่าโปรโมทเว็บไซต์และสินค้า

อย่างที่ทราบกันว่า SEO เป็นการโปรโมทที่ใช้ต้นทุนต่ำที่สุด เพียงแค่แบรนด์นำเสนอเนื้อหาสินค้าพร้อมให้ความรู้โดยการใช้คำที่ค้นหาบ่อยที่สุดในกูเกิ้ลมาประกอบในเนื้อหาเท่านั้น

แม้ว่าสินค้าของคุณจะมีคุณภาพดีแค่ไหน หากขาดการทำการตลาดและใช้ SEO ธุรกิจก็ไม่อาจเติบโตได้ทันคู่แข่ง ฉะนั้นจึงบอกได้แล้วว่า SEO คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตามนอกจากสินค้าจะมีประสิทธิภาพแล้ว เนื้อหาที่นำเสนอออกไปก็ต้องให้ความรู้อย่างครบถ้วน เพื่อเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้บริโภค นำไปสู่การเพิ่มจำนวนผู้ที่มาเข้าชมเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง

ยกระดับคอนเทนต์ SEO ให้น่าสนใจด้วยการปรับเนื้อหาและการใช้ภาพ

ยกระดับคอนเทนต์ SEO ให้น่าสนใจด้วยการปรับเนื้อหาและการใช้ภาพ

เพราะการทำ SEO สำหรับธุรกิจออนไลน์ ไม่ได้มีแค่การใช้คำหลักหรือ Keyword ใส่ลงไปในคอนเทนต์เนื้อหาที่นำเสนอให้กับลูกค้าเท่านั้น ถ้าอยากให้ธุรกิจเอาชนะคู่แข่งและแซงขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งใน Search Engine ที่ลูกค้าใช้ได้ มันก็จะต้องมีการปรับกลยุทธ์เพื่อยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำ SEO ของธุรกิจด้วย

ปรับเนื้อหาจากการเล่าประโยชน์เป็นการตั้งคำถาม

หลายธุรกิจมักจะมีการเลือกทำ SEO โดยนิยมใช้คอนเทนต์แบบการนำเสนอประโยชน์ ข้อดี และสิ่งที่จะเข้ามาเป็น Solution ให้กับลูกค้าได้ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ถ้าไม่อยากให้คอนเทนต์จำเจ เราต้องแทรกคอนเทนต์แบบการถาม-ตอบ เข้ามาเพื่อดึงดูดความสนใจและสร้าง Traffic ด้วย

คอนเทนต์แบบจัดอันดับ FAQ หนึ่งรูปแบบของคอนเทนต์ SEO ที่ได้รับความนิยมก็คือการจัดอันดับคำถามที่หลายคนชอบสงสัย ทั้งในตัวสินค้า หรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของธุรกิจ เป็นคำถามที่ลูกค้ามักจะถามซ้ำ ๆ อยู่บ่อยครั้ง ถ้ามีข้อมูลให้ลองเอามาจัดอันดับและนำเสนอแบบ SEO ได้เลย

ใส่คำหลักลงไปในคำตอบ การสร้างคอนเทนต์แบบ FAQ ให้ลงตัว อ่านง่าย และดูเป็นธรรมชาติ และต้องทำให้เป็น SEO ด้วย ตรงนี้ให้เราใส่คำหลัก (Keyword) ลงไปในคำตอบทุก ๆ ข้อ แนะนำว่าอย่ายัดคำหลักเยอะเกินไป ให้แบ่งใช้คำหลัก คำรอง สลับกัน เพื่อให้คอนเทนต์สามารถดึงลูกค้าเข้ามาหน้าเว็บไซต์ได้

เลือกใช้ภาพกับคอนเทนต์ให้ลงตัว

เดี๋ยวนี้ Google ได้มีการพัฒนาความสามารถในการจัดอันดับโดยดูถึงรูปภาพและรายละเอียด มากกว่าแค่การนับจำนวนคำหลักแล้ว นั่นหมายความว่าทุก ๆ คอนเทนต์ที่ทำ SEO ควรมีการนำรูปภาพที่เหมาะสมมาใส่และเลือกให้ลงตัวเพื่อให้เกิดความน่าสนใจและส่งผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์

ขนาดของภาพและดีไซน์ที่เหมาะสม เพราะการจัดอันดับหน้าเว็บไซต์จะมีการวัดคะแนน Page Speed ถ้าขนาดของภาพในคอนเทนต์มีความเหมาะสม ไม่ใหญ่เกินไป โหลดได้ไว เว็บไซต์ก็จะได้คะแนนดีในข้อนี้ รวมไปถึงดีไซน์ของภาพที่ควรจะเข้ากันกับเนื้อหาเพื่อให้ลูกค้ามองภาพแล้วเข้าใจได้ทันที

คำอธิบายและการใช้งานในหลายแพลตฟอร์ม สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมเด็ดขาดก็คือการสร้างคำอธิบายเอาไว้ท้ายภาพเพื่อให้ลูกค้าและระบบเข้าใจได้ว่าภาพนั้นคือภาพอะไร แสดงถึงอะไร และในทุก ๆ ภาพที่ใช้ควรมีการถูกทดสอบการแสดงผลในแพลตฟอร์ม เช่น ใน PC, Tablet, หรือ Smart Phone ที่หลากหลายว่ามีการแสดงผลชัดเจนหรือไม่ โหลดไวแค่ไหนด้วย

ด้วยกลยุทธ์ที่ทำให้การทำ SEO ของธุรกิจมีความน่าสนใจและล้ำกว่าคู่แข่งจะเกิดเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดออนไลน์ ที่เป็นอาวุธสำคัญที่ธุรกิจ E-Commerce จะสามารถใช้เป็นอาวุธนำทางธุรกิจไปสู่ความสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้

วิธีค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับการทำ SEO

วิธีค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับการทำ SEO

การค้นหาคีย์เวิร์ดที่ดีเป็นกุญแจสำคัญของการทำ SEO เพราะคำค้นหาเป็นเครื่องมือดึงผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา ธุรกิจที่มีเว็บไซต์ของตนเองจึงสนใจเทคนิคการค้นหาคีย์เวิร์ดที่นำมาใช้กับการทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสที่จะไปอยู่ในหน้าแรกๆ ของผลการค้นหาบน Google

แม้ว่าเทรนด์การทำ SEO จะปรับเปลี่ยนไปอย่างไร การวิจัยคีย์เวิร์ดที่ดียังคงมาเป็นอันดับแรกและสำคัญที่สุดเสมอ ก่อนที่จะเริ่มเขียนเนื้อหาบทความสำหรับลงบนเว็บไซต์ จำเป็นต้องระบุคำคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดที่ดีและมีปริมาณเหมาะสมด้วย วิธีการค้นหาคีย์เวิร์ดจะเลือกด้วยตัวเองหรือใช้เครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ดหลักก็ได้ มีคำแนะนำดีๆ ที่จะช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดง่ายขึ้นมาฝากกัน

รู้จุดแข็งของตัวเอง

หากต้องการทราบว่าคีย์เวิร์ดไหนดีที่สุดและเหมาะที่จะเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บไซต์ของคุณ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเรียนรู้จุดแข็งของตนเอง ลองดูคีย์เวิร์ดจากเว็บไซต์คู่แข่งและมองแนวคิดนอกกรอบเพื่อที่จะค้นพบมุมมองใหม่ๆ ค้นหาเอกลักษณ์เฉพาะที่ทำให้แบรนด์สินค้าหรือบริการแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นเพื่อนำมาใส่ในเนื้อหาบทความ

การมองจากแง่มุมของคนอื่นช่วยให้ง่ายต่อการสร้างกลยุทธ์การตลาดและการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะมุมมองจากลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ ลองแชทพูดคุยกับลูกค้าปัจจุบัน สอบถามทำไมถึงตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ของคุณ หรือสนใจบริการใดเป็นพิเศษเพื่อทําความรู้จักกับลูกค้าให้ดีขึ้น เก็บเล็กผสมน้อยความเห็นเหล่านี้นำมาใช้กำหนดคีย์เวิร์ดในการอธิบายเกี่ยวกับแบรนด์บริษัท สินค้า หรือบริการได้เป็นอย่างดี

สร้างคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรอง

เมื่อกำหนดคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องแล้ว นำคำเหล่านั้นมาประกอบกับเป็นคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรอง แบ่งคำหลักออกเป็นหัวข้อย่อยต่างๆ ผสมกันให้เป็นคีย์เวิร์ดแบบยาว (Long tail keywords) ที่มีความเฉพาะเจาะจงสูง มุ่งเป้าไปที่ผู้อ่านที่มีโอกาสเป็นลูกค้าของแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ซึ่งจะพิมพ์คำค้นหาสิ่งที่ต้องการใน Google ยกตัวอย่าง คำว่า วิเคราะห์บอลคืนนี้ ก็ควรทำทั้ง วิเคราะห์บอลแม่นๆ วิเคราะห์ผลบอล ทีเด็ดบอลวันนี้ ซึ่งช่วยให้จำกัดทิศทางของคำค้นหาได้อย่างถูกต้อง

ค้นข้อมูลคู่แข่งเพื่อหาช่องว่างและโอกาส

เมื่อพบคีย์เวิร์ดหลักที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์และผลิตภัณฑ์ของตนเองแล้ว หลังจากนั้นควรค้นด้วยว่าคู่แข่งทำอย่างไร ถ้าคีย์เวิร์ดของคู่แข่งแตกต่างไป เปรียบเทียบดูว่าคีย์เวิร์ดแบบไหนดีต่อการจัดอันดับเพื่อมองหาช่องว่างและโอกาสที่จะทำคอนเทนต์ให้ดีกว่าคู่แข่ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการทำ SEO มากขึ้น แม้จะไม่ได้เชี่ยวชาญการทำ SEO มาก่อน แต่คำแนะนำข้างต้นเป็นวิธีง่ายๆ ช่วยให้เข้าใจวิธีการค้นหาคีย์เวิร์ดที่ดีเพื่อนำมาสร้างเนื้อหาสำหรับการเขียนคอนเทนต์ที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพในการทำส่งเสริมยอดขายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เรื่องควรรู้เกี่ยวกับ SEO ของเว็บไซต์ออนไลน์

เรื่องควรรู้เกี่ยวกับ SEO ของเว็บไซต์ออนไลน์

SEO เป็นกลยุทธ์สำคัญของการตลาดออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านยอดขาย ยอดวิว และชื่อเสียงของแบรนด์ สำหรับคนที่เพิ่งเป็นมือใหม่ในวงการเว็บไซต์ อาจยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำ SEO หรือทำแล้วจะดีอย่างไรบ้าง เราจึงรวมเรื่องที่คุณควรรู้ของ SEO สำหรับเว็บไซต์ออนไลน์มาฝากกัน ดังนี้

การหาคีย์เวิร์ดที่ตรงกับการค้นหาสำคัญมาก

คีย์เวิร์ดที่ดีเป็นแก่นของบทความในเว็บไซต์ที่สำคัญ มีการกล่าวว่าเว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จย่อมาจากขั้นพื้นฐานคือเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีก่อน เพราะผู้คนจะค้นพบเว็บไซต์คุณจาก google ได้เมื่อพิมพ์คำเหล่านั้นในช่อง search แล้วระบบอัลกอริทึ่มแสดงผลออกมา ความจริงแล้ว ในแต่ละประเภทธุรกิจย่อมมีเว็บไซต์ที่แข่งกันหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม และเพิ่มการผลิตเนื้อหาสาระจากคีย์เวิร์ดนั้นอยู่ตลอดเวลา หากคุณไม่ให้ความสำคัญกับคีย์เวิร์ดก็จะไม่สามารถแข่งขันได้

นอกจากคีย์เวิร์ดยังมีอีกหลายอย่างสำหรับการทำ SEO

หลายคนเข้าใจว่า การทำ SEO คือการกำหนดคีย์เวิร์ดแล้วให้เขียนบทความให้เข้ากัน แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่นั้น ยังรวมถึงการตั้งชื่อเรื่องที่เหมาะสม การกำหนดหัวข้อย่อย h1 h2 ในบทความ การตั้งค่า meta-description สำหรับอธิบายเนื้อหาอย่างย่อ การผลิตรูปที่มีคุณภาพและไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นต้น

Plug-In ที่ต้องดาวน์โหลด ก็ต้องศึกษาด้วย

หากทำเว็บ ผลบอล ก็ควรมีปลั๊กอินผลบอลเอาไว้ การปรับและพัฒนาโครงสร้างและการจัดเรียงหมวดหมู่สินค้าและบริการต่าง ๆ ให้เว็บไซต์ดูน่าใช้งาน จำเป็นต้องดาวน์โหลด plug-In มาใช้งานบน wordpress ซึ่งมีทั้งฟรีและที่คิดค่าบริการ หากจะให้มีระบบการซื้อขายบนเว็บด้วย คุณก็ต้องมีการดาวน์โหลด plug-In ที่จำเป็น เช่น Woo-commerce เพื่ออำนวยประโยชน์ให้สูงสุดและสร้างความประทับใจแก่ผู้ใช้งาน

ลูกค้ามั่นใจเมื่อเว็บติดอันดับต้น

Google เป็น Search Engine ที่คนไทยใช้ในการค้นหาข้อมูลมากที่สุด หากเว็บไซต์คุณทำ SEO อย่างดี จอแสดงผลอยู่อันดับ 1-5 ของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ ย่อมได้รับความไว้วางใจอย่างมากทั้งด้านเนื้่อหาสาระที่ไม่ผิดพลาด และสินค้าที่ขายก็เป็นของดีมีคุณภาพ ไม่ใช่มิจฉาชีพอย่างแน่นอน

SEO ช่วยควบคุมต้นทุนการทำธุรกิจในระยะยาว

เรามักได้ยินว่า ถ้าอยากให้ของขายดีต้องโฆษณาหรือที่เรียกว่า SEM (Search Engine Marketing) อย่างไรก็ตาม หากเราทำ SEO ให้เว็บไซต์มาอย่างต่อเนื่องย่อมทำให้เว็บไซต์ปรากฏอยู่ในอันดับต้น ๆ ได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินโฆษณาเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าใช้ระยะเวลาที่นานกว่าการซื้อพื้นที่โฆษณา

แม้ว่าการทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จด้วย SEO ต้องใช้ทั้งระยะเวลาและความมุ่งมั่นตั้งใจ แต่เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจชนิดที่หาคู่แข่งได้ยาก ก็จำเป็นต้องอดทนและทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในไม่ช้าย่อมเข้าถึงเป้าหมายได้อย่างแน่นอน

สุดยอดเครื่องมือที่ช่วยให้หา keyword ทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สุดยอดเครื่องมือที่ช่วยให้หา keyword ทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในยุคนี้ใคร ๆ ก็อยากให้คนเห็นผลงานของเรา ผ่านสื่อออนไลน์ที่เราลงชิ้นงานหนึ่ง ๆ ไว้ SEO หรือ Search Engine Optimization จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญ หากเราเข้าใจเรื่อง SEO มากเท่าไร ก็จะช่วยทำให้ เกิดการเข้าถึงเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

SEO ทำงานอย่างไร

SEO เกี่ยวข้องกับการใช้คำค้นหาผ่านหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงสินค้าและบริการ ด้วยเหตุนี้ คีย์เวิร์ด (keyword) กับ SEO จึงมีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง แม้จริงอยู่ที่ในยุคปัจจุบันมีสื่อออนไลน์มากมายมาช่วยให้ผู้คนรู้จักเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การพิมพ์ประโยคหนึ่ง ๆ เพื่อค้นหาสินค้าและบริการผ่านช่องทางต่าง ๆ ก็ยังคงเป็นวิธีการที่นิยมมากที่สุด ดังนั้น หากอยากให้ลูกค้าพบหน้าเว็บไซต์ เพจ หรือสื่อของเราได้เป็นอันดับแรก ๆ ต้องใส่ใจเลือกใช้ Keyword ที่เหมาะสม

เครื่องมือสำหรับหา Keyword ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่

1.Google Keyword Planner
เครื่องมือนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เราค้นหา Keyword ได้เร็ว และช่วยแสดงผลว่าแต่ละคำที่เราจะเลือกใช้ มีประสิทธิภาพทาง SEO มากน้อยเพียงใด เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ทั่วไปคือ ให้เราเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลัก ตลอดจนเพิ่มโอกาสรับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เป็นคนทั่วไปได้ตรงจุด ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องมือชิ้นนี้ยังช่วยให้เว็บไซต์ของเราเข้าถึงกลุ่มคนที่อยากจะลงโฆษณาผ่าน Google Ads ได้อีกด้วย

2.Ubersuggest
นี่เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่น่าสนใจ เพราะ Ubersuggest สามารถช่วยเราเลือกอันดับ Keyword ที่ติด 1 ใน 10 คำที่นิยมใช้กัน ณ เวลานั้น ๆ ได้ เพียงแค่พิมพ์ keyword ลงไปในช่องค้นหา เครื่องมือชิ้นนี้ก็จะทำการประมวลผล จากนั้นหน้าเว็บไซต์ก็จะแสดงผลคำที่ติดอันดับยอดนิยมให้เราเลือกใช้ได้ ซึ่งเราสามารถนำคำเหล่านั้นมาปรับใช้ในสินค้า สื่อโฆษณาหรือที่หน้าเว็บไซต์ของเราได้เลย

3.Ahrefs
เป็นเครื่องมือยอดนิยมที่หลายคนให้ความสนใจ เนื่องจาก Ahrefs สามารถตรวจสอบเว็บไซต์ที่มีกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มตลาดที่เราสนใจได้อย่างเจาะจงขึ้น ทั้งยังช่วยเราออกแบบกลยุทธ์ในการรับมือกับคู่แข่งได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยวิเคราะห์เทียบ Backlink ของคู่แข่งเว็บไซต์เราได้อย่างชัดเจน ความหลากหลายในการช่วยวิเคราะห์ทั้งหมดนี้ จึงทำให้เราประหยัดเวลาในการทำข้อมูลได้มาก จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนมากมายตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือชิ้นนี้

ทั้งสามข้อที่กล่าวมา คือ สุดยอดเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO ผ่านการสร้าง Keyword แบบง่าย ๆ แต่ได้ประสิทธิภาพที่เรานำมาฝากกัน อย่างไรก็ตาม ยังมีเครื่องมืออีกมากมายที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้เราสร้าง Keyword ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเราสามารถทดลองใช้ตามความพอใจและเลือกวิธีที่ถนัดที่สุดในการทำเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพต่อไป

5 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ SEO

5 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ SEO

การทำ SEO เป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในปี 2020 สำหรับนักธุรกิจออนไลน์มือเก่าและใหม่ให้มีอำนาจแข่งขันทางการตลาดสูงขึ้นในช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด ทั้งนี้ มี 5 เรื่องสำคัญที่เราได้รวบรวมมาฝากกันเกี่ยวกับ SEO ดังนี้

1.SEO ทำเองได้
การทำ SEO ให้เว็บไซต์ออนไลน์หรือเพสในเฟซบุ๊ก สามารถเรียนรู้ได้เองจากเว็บไซต์ให้ความรู้และคลิปยูทูปมากมายที่ผู้เชี่ยวชาญผลิตออกมาในช่วงไวรัสโควิดระบาด หากคุณต้องการประหยัดก็สามารถศึกษาด้วยตนเองได้ แต่ก็ต้องยอมแลกกับเวลาที่ต้องทุ่มเทกับการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน

2.การจ้างทำ SEO
บริษัทรับทำ SEO มีอยู่มากมาย ไม่ควรเลือกที่ราคาถูกเท่านั้น ต้องพิจารณาจากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการทำ SEO และบริการหลังการขาย เช่น การรักษาผลอันดับ SEO ได้นานอีก 1-3 เดือนหลังหมดสัญญา การทำรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ ฯลฯ จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการจ้างงานคุ้มค่าและป้องกันกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงได้

3.ทำ SEO สายขาว
การทำ SEO สายขาว คือ การทำตามแนวทางที่ Google กำหนด เช่น การทำโครงสร้างเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายทั้งกับระบบคอมพิวเตอร์และมือถือ การมีระบบอีคอมเมิร์ซที่รัดกุมและรักษาความลับลูกค้าได้อย่างดี การมีบทความที่ไม่ได้คัดลอกมาจากแหล่งอื่น ให้ความรู้และประโยชน์แก่ผู้อ่าน การมีคลิปเพื่อสนับสนุนการขายโดยไม่นำภาพหรือวิดีโอที่ตัดต่อบางส่วนจากคลิปผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น

4.ค่าใช้จ่ายในการทำ SEO
หากทำ SEO เอง ก็เรียกได้ว่าแทบไม่มีค่าใช้จ่ายเลย แต่หากจ้างบริษัททำ จะมีการคิดค่าใช้จ่ายตาม keyword กล่าวคือ หากเป็นคำที่มีการสืบค้นมากและมีคู่แข่งธุรกิจจำนวนมากที่ต้องการใช้คำนี้ จะมีการเรียกค่าใช้จ่ายที่สูงมากขึ้นตามไปด้วย และหากต้องการให้ผลการสืบค้นผ่าน Google พบเว็บไซต์คุณเป็นอันดับต่างกัน ก็มีผลต่อราคาด้วย เช่น ต้องการให้ติดอันดับ 1 ใน 3 ก็จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นราวเดือนละสามหมื่นบาท ส่วนอันดับ 1 ใน 10 จะมีค่าใช้จ่ายที่ 4,000-5,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น

5.ทำคู่กับ SEM ได้
การทำ SEO สามารถทำคู่กับ SEM หรือการโฆษณาผ่านเสิร์ชเอ็นจิ้นได้ หากต้องการให้มีลูกค้าอุดหนุนตลอดปี โดยเน้นเร่งการขายในช่วงเทศกาลก็สามารถซื้อพื้นที่โฆษณาเสริมได้ เช่น ช่วงเทศกาลคนโสด วันที่ 11 เดือน 11 ก็สามารถทำโปรโมชันพิเศษ และเร่งประชาสัมพันธ์รับออเดอร์ได้ โดยไม่ละทิ้งการทำ SEO เพื่อให้ลูกค้าที่ค้นหาสินค้าผ่านคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ยังเห็นแบรนด์สินค้าหรือเว็บไซต์ของคุณอยู่เสมอ

การทำ SEO เป็นสิ่งสำคัญที่นักธุรกิจยุคใหม่ต้องสนใจ เพื่อเพิ่มยอดขาย สร้างความจดจำแบรนด์ และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจากเดิม ทำให้มีอำนาจในการแข่งขันกับคู่แข่งมือเก่าและใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนการทำเองหรือจ้างทำ SEO เพื่อให้คุ้มค่ากับเวลาและค่าใช้จ่ายมากที่สุด

9 วิธี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO

9 วิธี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO

ไม่ว่าธุรกิจประเภทไหนก็ย่อมต้องมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจออนไลน์ที่มีการแข่งขันกันชนิดที่เรียกว่าห้ามกระพริบตาเลยทีเดียว เนื่องจากผลกระทบโดยตรงจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำอย่างหนัก การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาของเทคโนโลยีดิจิทัล และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มปรับตัวหันมาทำการตลาดด้วยระบบดิจิทัล หรือ Digital Marketing กันมากขึ้น แลนี่คือ 9 วิธีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO มาฝากบรรดาผู้ที่สนใจการทำธุรกิจการตลาดแบบออนไลน์

  1. การสร้าง Content ที่มีคุณภาพ และเป็นที่ต้องการของผู้เข้าชมเว็ปไซต์ หากคุณสร้าง Content ซ้ำกับเว็บไซต์อื่น นั่นหมายความว่าอันดับในการค้นหาและพบเจอธุรกิจของคุณก็จะแย่ลงไปด้วย
  2. การจัดวาง Keyword อย่างเหมาะสมกับเนื้อหาของบทความ ปัจจุบันการทำ SEO โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Google จะเน้นเนื้อหาและคีย์เวิร์ดที่ส่งเสริมกันอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่การใส่คีย์เวิร์ดแบบยัดเยียดเหมือนในอดีต
  3. การทำ Long tail Keywords หรือ การใส่คีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาที่มีความเฉพาะเจาะจงสูง และเติมคำต่อท้ายคีย์เวิร์ดหลักที่มีความหมายกว้าง แต่มีความหมายเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น แอลกอฮอล์สำหรับล้างมือ, แอลกอฮอล์ล้างมือขนาดพกพา เป็นต้น จะช่วยเพิ่มกลุ่มเป้าหมายเฉพาะให้กับธุรกิจบริการมากขึ้น
  4. ไม่ควรนำลิงก์ไปใว้ในไดเรกทอรี่ (web directories) เพราะจะทำให้ Google มองว่าลิงก์นั้นเป็น Spam และขาดความน่าเชื่อถือไปในทันที
  5. เลิกทำการตลาดด้วยวิธีไป Comment ต่าง ๆ เพราะการแทรกลิงก์เว็บไซต์ของสินค้าและบริการไว้ตามComment ต่าง ๆ จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะปัจจุบัน Google ถือว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ลิงก์กลายเป็น Spam ไปโดยปริยาย
  6. การทำ Mobile Optimization ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาบนมือถือ เพิ่มโอกาสในการช้อปปิ้งให้แก่ลูกค้ามากขึ้น จากการสำรวจของ Google พบว่า ลูกค้าธุรกิจและบริการนิยมใช้มือถือค้นหาสินค้าและบริการต่าง ๆ มากกว่า การใช้เครื่อง PC และโน้ตบุ๊ก นอกจากนี้ยังพบว่าสถิติในเช้าวันจันทร์มีการใช้งานอุปกรณ์มือถือเพื่อเปิดอีเมลทำงานและช้อปปิ้ง สูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย
  7. การทำ Metadata ของเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้แก่ ข้อมูลรายละเอียดที่อธิบายถึงความเป็นมาของ ธุรกิจ สินค้าและบริการนั้น ๆ เช่น ข้อมูล ชื่อผู้แต่ง ชื่อเจ้าของผลงาน ผู้รับผิดชอบ ปีที่ผลิต ชื่อเรื่องที่เขียน ซึ่งหากมีรายละเอียดที่มากขึ้น ก็จะช่วยให้สะดวกต่อการจัดการและสืบค้นได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
  8. ความยาวของTitle Tags หรือชื่อหน้าของเว็บเพจ ควรอยู่ที่ 10 ถึง 70 characters เพราะโดยปกติ Google จะแสดง Title บนหน้าเพจแสดงผลอันดับการค้นหาในขนาดไม่เกิน 70 ตัวอักษร หากยาวเกินไป Google ก็จะตัดทิ้งโดยอัตโนมัติและไม่แสดงให้เห็นอีก ดังนั้น เทคนิคการใส่คีย์เวิร์ดจำนวนมากในชื่อ Title แบบในอดีต จึงไม่มีผลต่อ SEO ในปัจจุบัน
  9. การสร้าง Content ที่มี Keyword แบบมีคุณภาพ และอัปเดตเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ใน Google มากกว่าการใช้ Keyword แบบเน้นปริมาณ เพราะ Google ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีความสดใหม่ ซึ่งจะได้รับความสนใจอย่างสูงจากผู้ใช้บริการด้วยเช่นกัน
5 สิ่งที่คุณควรทำความเข้าใจ เพื่อจะได้ติดอันดับ Google

สิ่งที่คุณควรทำความเข้าใจ เพื่อจะได้ติดอันดับ Google

SEO เป็นสิ่งที่คุณทำได้ด้วยตัวเองไม่ว่าคุณจะมีบริษัทเล็กหรือใหญ่ก็ตาม โดยไม่ต้องจ้างทำก็ได้และไม่เกี่ยวว่าจะเริ่มตอนไหน หากทำอย่างดีเยี่ยมก็จะมีโอกาสติดอันดับ Google ซึ่งเป็น Search engine อันดับหนึ่งที่ลูกค้าหรือบุคคลทั่วไปค้นหาสิ่งที่ต้องการอยากจะรู้ ไม่ว่าจะเป็น แหล่งท่องเที่ยว สินค้าบริการนานาชนิด หรืออื่น ๆ โดยหลักการ Search ของคนที่ค้นหาในกูเกิ้ล จะมีการดูผลการค้นหาอย่างมากไม่เกินหน้าที่ 3 ด้วยเหตุนี้ ก่อนการทำ SEO ควรทำความเข้าใจเพื่อที่จะได้ใช้แรงและเงินน้อยที่สุด ถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ทำธุรกิจหรือเว็บไซต์

เริ่มต้นวางแผนเลือก Keyword ให้ดีและถูกต้อง ก่อนที่จะลงมือเขียนบทความหรือว่าจ้างเขียนบทความ จะช่วยให้ประหยัดเวลา ในทางตรงข้ามถ้าคุณเลือก Keyword ผิดก็จะทำให้การติดอันดับผิดไปด้วย ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจหรือเว็บไซต์ของคุณดีขึ้นอย่างที่ต้องการ ต่อมา การสร้างเนื้อหาโดยวิธีการสร้าง content เอง หรืออาจจะไปจ้างคนเขียนก็ได้ แต่ต้องให้เหมาะกับ Keyword ที่คุณได้เลือก Keyword จากความเข้าใจที่ 1 มาอย่างดีแล้ว

ข้อมูลที่มีคุณภาพ และเป็นเนื้อหาใหม่

หากเว็บไซต์ของคุณมีจำนวนหน้าเพจหลายหน้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีแต่ไม่ส่งผลในการติดอันดับ SEO ในทางตรงข้าม ถึงแม้มีจำนวนหน้าที่น้อยแต่เป็นข้อมูลที่ดี ก็มีโอกาสการติด SEO มากกว่าได้ ทุกวันนี้ในกลุ่มเว็บ วิเคราะห์บอล ในเมืองไทยมักจะเห็นการ copy เนื้อหามาใช้กันเยอะ ซึ่งนั่นไม่ได้เป็นผลดีเอาเสียเลย ในด้านชื่อโดเมน จะมีหรือไม่มี Keyword ก็ได้ การมีโอกาสติด SEO ได้นั้น หลายคนเข้าใจผิดว่าชื่อโดเมนจะต้องมี Keyword ในความเป็นจริง ชื่อโดเมนจะมี Keyword หรือไม่มี Keyword ก็ไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด เพราะที่สำคัญคือ การเน้นเนื้อหาอย่างมีคุณภาพ จึงจะสามารถติด SEO ได้ ท้ายสุดคือการตรวจวัดผลว่าติด SEO หรือไม่นั้น ต้องดูในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ว่าจะติดอันดับหลังจากที่ทำในทันที แต่จะต้องอาศัยเวลาในการติดอันดับ อาจจะเป็น 2 สัปดาห์ 1 เดือนหรือ 3 เดือนก็ได้

สิ่งที่คุณควรทำความเข้าใจ ก่อนการทำ SEO เพื่อจะได้ติดอันดับ Google เปรียบเทียบคล้ายกับการทำธุรกิจ กล่าวคือ อย่าคิดว่าสายเกินไปแล้ว ซึ่งสามารถสังเกตได้จาก ผู้พันแซนเดอร์ส กว่าจะก่อตั้งบริษัทหรือ KFC ครั้งแรก ก็ตอนอายุ 65 ปีแล้ว แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะมีอายุมากหรือเวลาผ่านไปแค่ไหนก็สามารถเริ่มต้นทำธุรกิจได้ เพราะฉะนั้น คุณก็สามารถเริ่มทำ SEO ได้ตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มจากการออกแบบเว็บไซต์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ พร้อมเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้ชม ก็มีโอกาสติด SEO มากกว่าคู่แข่งที่มีข้อมูลเก่าหรือข้อมูลที่ด้อยคุณภาพอย่างแน่นอน

เขียนบทความอย่างไร ให้ติดอันดับ SEO บน Google

เขียนบทความอย่างไร ให้ติดอันดับ SEO บน Google

หนึ่งในวิธีที่ทำให้หน้าเว็บของคุณติดอันดับใน Google ได้ง่ายที่สุดนั่นคือ การเขียนบทความ เพราะอย่าลืมว่าเวลาที่ Google จัดอันดับนั้นจะต้องใช้เนื้อหาในเว็บต่าง ๆ เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้พวกเขามั่นใจได้ว่าควรเลือกให้เว็บไหนอยู่อันดับเท่าไหร่ แต่การจะเขียนบทความเพื่อให้ติดอันดับ SEO ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงจำเป็นต้องรู้วิธีเขียนอย่างถูกต้องเพื่อให้เว็บของคุณประสบความสำเร็จ โดยขั้นตอนต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องยาก

วิธีเขียนบทความให้ติดอันดับ

คีย์เวิร์ด คือ หัวใจของการทำ SEO ลำดับแรก นักเขียนที่จะทำให้บทความของตนเองติดอันดับ SEO ได้ต้องรู้จักการใช้คีย์เวิร์ดให้เป็นก่อน คีย์เวิร์ด ในที่นี้คือ คำค้นหายอดนิยมที่คนส่วนใหญ่เขานิยมใช้ในการค้นหาสิ่งต่าง ๆ กัน โดยอาจเลือกจากการจัดอันดับความถี่ของการค้นหาคำ ๆ นั้น หรือใช้ความเหมาะสมโดยเทียบตัวเราเป็นคนค้นหาว่าถ้าต้องการค้นเรื่องนี้ควรใช้คีย์เวิร์ดใด เป็นต้น เมื่อมีคีย์เวิร์ดแล้วจะทำให้การเขียนบทความง่ายขึ้น มีจุดประสงค์ชัดเจนว่าจะเขียนถึงเรื่องอะไร

Topic & Description อย่าลืมใส่คีย์เวิร์ดลงไปด้วย หัวข้อและส่วนอธิบายรายละเอียดเบื้องต้น จำเป็นต้องใส่คีย์เวิร์ดที่ใช้ในบทความนั้น ๆ ลงไปด้วย เพื่อให้การค้นหาจากผู้ที่สนใจเข้าถึงหน้าเว็บของคุณง่ายขึ้น และที่สำคัญอีกอย่างคือ ทั้งหัวข้อและรายละเอียดเบื้องต้นต้องไม่ยาวมากจนเกินไป ให้สั้นกระชับ แต่เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อ

กระจายคีย์เวิร์ดในบทความอย่างเหมาะสม การทำบทความ SEO ไม่ใช่การเขียน ๆ ไปเพื่อให้คนค้นหาง่ายโดยใส่คีย์เวิร์ดเข้าไปเยอะ ๆ เพราะจะทำให้ Google ตรวจเป็นสแปมและเว็บมีสิทธิ์ตกอันดับได้ทันที แนะนำว่าควรเลือกใส่อย่างเหมาะสมของเนื้อหานั้น ๆ แล้วกระจายออกไปทั่วทั้งบทความ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับได้ไม่ยาก แต่ก็ต้องเลือกด้วยว่าเป็นคีย์เวิร์ดที่ได้รับความนิยมจริง ๆ

เขียนบทความที่มีสาระและประโยชน์และไม่ก็อปปี้คนอื่นมาเด็ดขาด ข้อนี้สำคัญมาก การเพิ่มบทความลงไปในเว็บไซต์โดยการก็อปปี้เว็บอื่น ๆ แม้จะให้เครดิตก็ตาม แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าของบทความนั้นมาเห็นและสั่งรายงาน URL ของหน้าเว็บคุณมีสิทธิ์ตกอันดับทันที และกว่าจะแก้ไขขึ้นมาหรือทำเว็บใหม่ให้ติดเหมือนเดิมต้องใช้เวลาอีกนาน

ความยาวเนื้อหาเหมาะสม เนื้อหาบทความที่ดีควรมีอัตราเหมาะสม เช่น 300 คำ ขึ้นไป เพื่อให้รู้สึกว่ามีเนื้อหาสาระที่พอดี ไม่สั้นจนเกินไปขนาด Google ยังจับไม่ได้ นั่นจะทำให้คุณเสียโอกาสโดยใช่เหตุ

จากข้อมูลที่แนะนำไปข้างต้น จะช่วยทำให้การ เขียนบทความ SEO กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

วิธีเขียนบทความให้ติดอันดับ

ให้โลกรู้จักธุรกิจของคุณ ด้วยการทำ SEO บนเว็บไซต์

ให้โลกรู้จักธุรกิจของคุณ ด้วยการทำ SEO บนเว็บไซต์

จะประกาศตนให้โลกรู้ คำตะโกนนี้ อาจเคยดังก้องอยู่ในใจใครหลายคน โดยเฉพาะเจ้าของกิจการที่ต้องการประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักสินค้าและบริการของตน แล้วจะทำอย่างไร ให้ประกาศทีเดียวดังก้องไปทั่วโลก ณ ยุคนี้ คงไม่ต้องใช้สื่อทางจิตวิญญาณแต่อย่างใด แต่สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่การทำ SEO บนเว็บไซต์นั่นเอง

ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ ดูเป็นวิธีที่ไม่ต้องลงทุนมากมาย เพียงแค่ทำเว็บไซต์ก็ทำให้โลกรู้จักธุรกิจของเราได้ แล้วคำว่า SEO บนเว็บไซต์ คืออะไร

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization แปลตรงตัวว่า การหาค่าที่เหมาะสมของโปรแกรมค้นหา อ่านแล้วอาจจะงงสำหรับผู้ที่ไม่ใช่เว็บมาสเตอร์หรือผู้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

อธิบายให้เข้าใจ SEO อย่างง่าย ๆ คือ เว็บไซต์ค้นหาข้อมูล เช่น Google มีเกณฑ์การวัดผลหรือเกณฑ์การให้คะแนนเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อจัดเรียงลำดับบนหน้าเว็บไซต์ Google.com ซึ่งหากเว็บไซต์ใดออกแบบเข้าเกณฑ์ตามที่ Google ตั้งไว้ ก็จะถูกจัดเรียงขึ้นเป็นอันดับต้นบนหน้าแรกของ Google ส่งผลให้ผู้ search หาข้อมูลทั่วโลกมองเห็นเว็บไซต์นั้นเป็นอันดับแรก นับเป็นการป่าวประกาศให้คนทั้งโลกได้รู้จักธุรกิจนั้น ๆ นั่นเอง

จากการอธิบาย SEO ข้างต้น ประเด็นสำคัญอยู่ที่ การออกแบบเว็บไซต์ให้เข้ากับเกณฑ์ที่ Google ตั้งไว้ เกณฑ์ทั้งหมดสรุปเป็นหัวข้อหลัก โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Google 200+ SEO Ranking Factors ปี 2020 ดังนี้

หัวข้อหลักเกณฑ์ทำ SEO บนเว็บไซต์

1. Referring domains

ให้ keyword หลักอยู่ในคำแรกของชื่อเว็บไซต์ อยู่ใน title tag อยู่ในคำอธิบาย tag และอยู่ในย่อหน้าแรกของเนื้อหาในเว็บไซต์

ให้มีรหัสประเทศอยู่ในชื่อเว็บไซต์ เพื่อการถูกจัดอันดับอยู่ในลิสต์เว็บไซต์ยอดนิยมของประเทศต่าง ๆ ยกตัวอย่าง รหัสประเทศไทย คือ .th

2. Organic Click-Through-Rate หรือ Organic CTR คืออัตราส่วนที่บ่งบอกว่าผู้เข้าชมมีการคลิกเข้าชมเว็บไซต์บ่อยครั้งแค่ไหน ซึ่งการทำ CTR ที่มีประสิทธิภาพ คือการคิด keyword ที่เชิญชวนคนเข้ามาชมเว็บไซต์ ส่งผลให้เพิ่มอัตราการคลิกมากขึ้นนั่นเอง

3. Domain authority คือการทำ https บนชื่อเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลบนเว็บไซต์

4. Mobile usability คือการใช้งานเว็บไซต์นั้น ๆ บนอุปกรณ์พกพาได้อย่างเหมาะสม

5. Dwell time คือเวลารวมทั้งหมดของการใช้เว็บไซต์นั้น ๆ โดยเริ่มนับตั้งแต่ผู้ใช้กดปุ่มค้นหาด้วย Google เข้าสู่หน้าเว็บไซต์ อ่านเนื้อหาในเว็บไซต์ และกดปุ่ม back กลับไปยังหน้าค้นหาอีกครั้งหลักเกณฑ์ทำ SEO บนเว็บไซต์

6. Total number of backlinks คือจำนวนรวม link ภายนอกจากเว็บไซต์อื่นที่อ้างอิงถึงเว็บไซต์ตนเอง

7. Content quality คือคุณภาพของบทความ ซึ่งสัมพันธ์กับปริมาณ keyword และการใช้ keyword อย่างมีคุณภาพ ไม่ใช้ keyword ซ้ำมากเกินไปจนบทความไม่น่าเชื่อถือ

8. On-page SEO คือการทำ SEO โดยการปรับแต่งปัจจัยภายใน (On-page) ที่มีอยู่ภายในเว็บไซต์นั้น ๆ ได้แก่ ชื่อโดเมน (domain name) ชื่อหัวเรื่องของหน้าเว็บ (title tag) บทความภายในเว็บไซต์ ชื่อไฟล์ต่าง ๆ (file name) คำอธิบายต่าง ๆ (description) การกำหนดชื่อให้ลิงก์ (permalink) การเชื่อมโยงลิงก์ภายในเว็บไซต์ (internal link) เป็นต้น

เคล็ดลับของ การทำ SEO คือ ต้องคิดหา keyword ใหม่ ๆ ที่ตรงกับธุรกิจของคุณ และตรงกับ keyword ที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหลักใช้ search ใน Google และเคล็ดลับสำคัญ คือต้องทำอย่างต่อเนื่องและทำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ตามเกณฑ์การวัดผลของ Google ดังข้อสรุปเบื้องต้น เนื่องจากการทำ SEO บนเว็บไซต์ต้องแข่งขันกับเว็บไซต์อื่น ๆ ตลอดเวลา จากการศึกษาข้อมูลเชิงสถิติ พบว่าเว็บไซต์อันดับหนึ่งใน Google มีผู้เข้าชมมากกว่าเว็บไซต์อันดับสองเกือบ 2 เท่า ดังนั้น หากสามารถทำให้เว็บไซต์ธุรกิจของคุณขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งบนหน้าแรกของ Google ด้วยการทำ SEO บนเว็บไซต์ จะส่งผลให้โลกรู้จักธุรกิจของคุณอย่างแน่นอน