ทำความรู้จักหลักการทำงานของ Google Algorithm 2021 ที่จะช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น

ทำความรู้จักหลักการทำงานของ Google Algorithm 2021 ที่จะช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น

ในปี 2021 ทาง Google ได้มีการอัปเดตการทำงานของระบบ Algorithm เพื่อปรับปรุงการจัดอันดับเว็บไซต์ต่าง ๆ บนหน้าแสดงผลการค้นหาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้การทำ SEO ที่อิงอยู่กับหลักเกณฑ์การให้คะแนนของระบบ Algorithm แบบเก่า อาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไป ฉะนั้น หากผู้สร้างเว็บไซต์ไม่ปรับปรุงเนื้อหาหรือคอนเทนต์ในเว็บไซต์ให้อัปเดตตามระบบ Algorithm แล้ว ก็อาจส่งผลให้หลุดจากการจัดอันดับเว็บไซต์ได้ง่าย ๆ วันนี้เราจึงจะพาไปทำความรู้จักหลักการทำงานของ Google Algorithm 2021 ที่จะช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น

1.ต้องรองรับการเข้าถึงโดยสมาร์ทโฟน
ปัจจุบัน Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ออกแบบหน้าเว็บให้รองรับการเข้าถึงโดยสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตอย่างมาก ถึงขั้นที่มีการพัฒนา Algorithm ที่ชื่อว่า “Mobile Friendly” ซึ่งทำหน้าที่คอยตรวจจับและให้คะแนนเว็บไซต์ที่รองรับการเข้าถึงผ่านสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะ ฉะนั้น ใครที่กำลังคิดจะทำ SEO จึงควรพิจารณาในข้อนี้เป็นอันดับแรก เช่น ตัวหนังสือไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป สามารถอ่านในสมาร์ทโฟนได้แบบสบายตา หรือการจัดหน้าเว็บไซต์ที่ไม่ซับซ้อน สามารถเข้าสู่หน้าอื่น ๆ บนเว็บได้ง่าย เป็นต้น

2.เวลาที่ใช้โหลดหน้าเว็บไซต์
เว็บไซต์ที่ใช้เวลาโหลดหน้าเว็บนานเกินไป อาจทำให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมรู้สึกรอนานจนออกจากหน้าเว็บไปก่อนที่จะโหลดเสร็จ ซึ่งนี่เป็นสัญญาณเตือนว่า เว็บไซต์ของคุณจะเสียคะแนนเมื่อมีการจัดอันดับเว็บไซต์โดย Algorithm ของ Google ซึ่งส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณหลุดจากหน้าแรกได้ง่าย ๆ

3.การตอบสนอง
การตอบสนองของหน้าเว็บไซต์ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการคลิก หรือการเลื่อนขึ้น-ลง ที่ควรมีความเสถียร ไม่ช้าเกินไป หรือมีอาการค้าง เพราะหากเว็บไซต์มีการตอบสนองช้าเกินไปหรือไม่มีความเสถียร ระบบ Algorithm ของ Google ก็อาจมองว่าเว็บไซต์ของคุณไม่เป็นมิตรและสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อผู้ใช้งาน ซึ่งก็อาจทำให้เว็บไซต์ของคุณเสียอันดับดี ๆ ที่เคยมีได้นั่นเอง

4.ความเสถียรรูปภาพ และเนื้อหา
รูปภาพและข้อความต่าง ๆ ที่อยู่ในเว็บไซต์ควรมีความเสถียร ไม่ควรใช้เวลาโหลดนานเกินไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีตลอดการเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ โดยรูปภาพและข้อความต่าง ๆ ควรใช้เวลาโหลดไม่เกิน 3 วินาที เพราะหากนานกว่านั้น ระบบ Algorithm ของ Google ก็อาจมองว่าเว็บไซต์ของคุณไม่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน ซึ่งจะทำให้เสียคะแนนการจัดอันดับได้

5.โครงสร้างเว็บไซต์
โครงสร้างเว็บไซต์ควรมีระเบียบ ไม่ซับซ้อน เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงได้ง่าย ยิ่งออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ได้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกระตุ้นให้ผู้ใช้งานอยากอยู่เยี่ยมชมในหน้าเว็บไซต์นานขึ้นเท่านั้น และเมื่อเว็บไซต์ของคุณมีผู้ใช้งานค้างอยู่ในหน้าเว็บเป็นเวลานาน ๆ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะได้รับการจัดอันดับดี ๆ จาก ระบบ Algorithm ของ Google นั่นเอง

6.การคัดลอกเนื้อหา
เจ้าของเว็บไซต์บางคนน่าจะคุ้นเคยกับเทคนิคการทำ SEO ให้ติดอันดับด้วยการ “คัดลอก” บทความจากเว็บไซต์ที่ติดอันดับอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งหากเป็นเมื่อสิบปีก่อน วิธีนี้ถือว่าได้ผลอย่างมาก แต่สำหรับปี 2021 ทาง Google ได้พัฒนา Algorithm ที่ชื่อว่า “Panda” ที่จะคอยตรวจจับการคัดเลือกเนื้อหาของเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ แถมเจ้าหมีตัวนี้ยังฉลาดมากซะด้วย เพราะฉะนั้นอย่าคิดลองดีกับมันด้วยการกด Ctrl+C และ Ctrl+V แบบเด็กมัธยมเด็ดขาด แล้วจะหาว่าไม่เตือน!

ถ้าคุณสงสัยว่าอัลกอริทึมต่าง ๆ นั้นทำงานอย่างไร ก็บอกไว้เลยว่า Google เก็บเป็นความลับ ดังนั้น เอาเวลาที่จะหาช่องโหว่ของระบบไปพัฒนาเว็บไซต์และเนื้อหาให้ผู้อ่านได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด จะส่งผลดีต่อ SEO ได้ในที่สุด

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ให้กับหน้าเพจบน Facebook

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ให้กับหน้าเพจบน Facebook

การเปิดเพจใน Facebook เพื่อขายสินค้าออนไลน์เป็นช่องทางที่นิยมมาก เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายอย่างการจดโดเมนและเช่าโฮสติ้งเว็บไซต์ปีละนับพันบาท แถมคนไทยจำนวนหลายล้านคนก็มีบัญชี Facebook สำหรับการหาข้อมูลต่าง ๆ และการซื้อสินค้าและบริการเป็นประจำด้วย การทำ SEO ให้กับเพจร้านค้าบน Facebook จึงเป็นช่องทางที่ช่วยให้เพจของคุณถูกค้นเจอง่ายและได้รับยอดสั่งซื้อตามมามากขึ้น เรามาดูกันว่ามีประเด็นใดบ้างที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ให้หน้าเพจบน Facebook

1.SEO ของ Facebook และ Google ไม่เหมือนกัน
กล่าวได้ว่า ระบบ algorithm ของ Google และ Facebook มีความแตกต่างกันตามแนวทางของทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาระบบ และทั้งสองยังเป็นคู่แข่งทางธุรกิจระดับโลกด้วย การทำเพจบนเฟซบุ๊กจึงต้องศึกษาแนวทางอย่างละเอียด ว่าระบบอัลกอริทึมมีการเก็บข้อมูลแบบใดบ้าง และทำ SEO ใน Facebook อย่างจริงจังอย่างน้อย 6 เดือน จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

2.หา keyword SEO ให้กับหน้าเพจบน Facebook
การใช้ keyword SEO ใน Facebook ต้องเลือกจากคำที่มีคนนิยมพิมพ์ค้นหาผ่านทางแอปพลิเคชัน ซึ่งมีการวิจัยพบว่า การใช้คีย์เวิร์ดที่มีความยาวมาก มีรายละเอียดเฉพาะเจาะจง เช่น ระบุแบรนด์ สีสัน ราคา เพศผู้ใช้ ของสินค้านั้น ๆ จะทำให้ได้รับความนิยมสั่งซื้อมากกว่าการตั้งคีย์เวิร์ดแบบกว้าง ๆ

3.สร้างลิงก์เชื่อมโยงบ่อย ๆ
คุณต้องเพิ่มโอกาสในการเชื่อมโยงลิงก์เข้ามาที่หน้าเพจ Facebook บ่อย ๆ ด้วยการเข้าร่วมกลุ่มที่มีคนรวมตัวกันจำนวนมาก ๆ เช่น คุณขายเสื้อผ้าของใช้ทารก ก็ควรสมัครเข้าเป็นสมาชิกในกลุ่มแม่และเด็ก คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพ ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนนับร้อยกลุ่มบน Facebook เพื่อเกิดการปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ต่าง ๆ และเป็นการประชาสัมพันธ์เพจของคุณไปในตัวด้วย หากมีลูกค้าสนใจ ก็สามารถที่จะแนบลิงก์แนะนำเพจคุณได้ หากไม่ผิดกฎกติกาของกลุ่ม

4.อัปเดตบทความใหม่ ๆ เสมอ
การนำเสนอบทความ SEO ใหม่ ๆ เป็นประจำ โดยใส่คีย์เวิร์ด SEO หรือติด tag ยอดนิยมแทรกระหว่างบทความ เป็นเทคนิคสำคัญที่ทุกเพจ Facebook ต้องทำ หากจะรักษาอันดับ SEO ให้ดี เพราะดีต่อการเก็บข้อมูลของอัลกอริทึม และยังแสดงถึงการใส่ใจทำเพจขายสินค้าอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในการเข้ามาสั่งซื้อสินค้าจากเพจของคุณมากยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO ให้กับแฟนเพจบน Facebook เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาอยู่หลายประการ และสามารถทำควบคู่กับการซื้อพื้นที่โฆษณาบน facebook ที่จ่ายเป็นรายครั้งได้ อย่างไรก็ตาม หากทำ SEO ได้อย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาใน Facebook ลงไปได้ เนื่องจากระบบการแสดงผลตาม algorithm จะเป็นแบบออแกนิค เพจที่มีคุณภาพสูงจะถูกนำเสนอชื่ออยู่ในอันดับแรก ๆ เกือบตลอดเวลาอยู่แล้ว

เคล็ดลับทำ SEO ปรับปรุงเนื้อหาอย่างไรดึงดูดผู้ใช้มากขึ้น

เคล็ดลับทำ SEO ปรับปรุงเนื้อหาอย่างไรดึงดูดผู้ใช้มากขึ้น

การทำ SEO หมายถึงกระบวนการทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักรวดเร็ว มีผู้ใช้งานจำนวนมาก และเว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ของการค้นหาบนเสิร์ชเอนจิ้นอย่าง Google เคล็ดลับการทำ SEO ส่วนใหญ่มีคำแนะนำมากมาย เช่น “เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ” และ “ใช้คีย์เวิร์ดยอดฮิต” รวมทั้ง “ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้” หลายเว็บไซต์แนะนำให้เห็นความผิดพลาดที่เคยทำมาก่อน ช่วยหาหนทางที่ถูกต้อง มีประสิทธิภาพที่สุด ที่สำคัญคือนำไปใช้ได้จริง โดยเรามีเคล็ดลับดี ๆ มาฝากกันดังนี้

1.ปรับปรุงเนื้อหาใส่คีย์เวิร์ดในตำแหน่งเหมาะ การเขียนเนื้อหาบทความส่วนใหญ่ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ฉบับร่าง จะต้องมีการใส่คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ปริมาณไม่มากเกินไป เริ่มจากการใส่คีย์เวิร์ดหลักลงในชื่อ URL ของเว็บไซต์ 2-3 หน้า รวมทั้งในชื่อบทความและพารากราฟแรกเพื่อให้ติดอับดับในแต่ละหน้านั้น การแทรกคีย์เวิร์ดในตำแหน่งหลัก ๆ ต้องไม่พลาดใส่คำสำคัญครอบคลุมหัวข้อย่อยของบทความด้วยจะช่วยปรับปรุงการจัดอันดับคีย์เวิร์ดหลักทำให้ Google เห็นว่าหน้าเว็บนั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

2.ส่งอีเมลและสร้างลิงก์ถึงทุกคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้า การสร้างแบ็กลิงก์ย้อนกลับเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของเสิร์ชเอนจิ้น แม้จะเป็นงานน่าเบื่อแต่จำเป็น เพราะการสร้างลิงก์คุณภาพทำให้มีโอกาสดึงดูดผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าในอนาคตได้ง่ายขึ้น โดยค้นหาจากอีเมลแสวงหาลูกค้าเป้าหมายแล้วโน้มน้าวให้เข้ามาใช้งานเว็บไซต์ แนะนำว่าไม่ควรเขียนขอลิงก์ในอีเมล แต่แจ้งข่าวความเคลื่อนไหวและโปรโมทบทความให้ลูกค้าเข้ามาอ่าน หากบทความเขียนได้ดีเนื้อหามีเอกลักษณ์ ผู้อ่านจะชื่นชมและแชร์ออกไป ทำให้มีผู้เยี่ยมชมมากขึ้น

3.เพิ่มลิงก์ภายในจากหน้าหนึ่งในเว็บไซต์ไปยังอีกหน้าหนึ่ง ช่วยนำทางให้ผู้เยี่ยมชมเข้าไปอ่านเนื้อหาในหน้าต่าง ๆ กระจายทั่วเว็บไซต์ เป็นการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี ใช้งานง่าย เป็นที่พอใจของลูกค้า เจ้าของเว็บไซต์ควรกำหนดอันดับ URL ของแต่ละเพจเพื่อจัดลำดับความสำคัญของแต่ละหน้าและเพิ่มลิงก์ภายในจากเพจสำคัญที่สุดไปยังเพจย่อยอื่น ๆ

4.ตรวจสอบเนื้อหาประจำปีเพื่อปรับปรุงใหม่ บางบทความอาจใช้เนื้อหาเดิมได้แต่ควรปรับเปลี่ยนคีย์เวิร์ดที่ทันสมัยมากขึ้น วิเคราะห์หน้าเพจทั้งหมดในเว็บไซต์เพื่อดูว่าควรเก็บเพจไหนเอาไว้ เพจไหนดีอยู่แล้ว และเพจไหนควรอัปเดตข้อมูลใหม่ ควรประเมินไปทีละหน้าเพจ หน้าสำคัญต้องเก็บไว้แม้ว่าจะมีผลต่อการทำ SEO เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยก็ตาม จากนั้นลบเพจที่ไม่ต้องการแล้วออกไป การปรับปรุงโครงสร้างและเนื้อหา จะทำให้ผู้ใช้งานพอใจเว็บไซต์มากขึ้นแน่นอน

5.เปลี่ยนบล็อกโพสต์เป็นวิดีโอ ทุกวันนี้คนอ่านหนังสือน้อยลง บ้างก็ชอบรูปแบบเนื้อหาที่แตกต่างกัน ควรปรับปรุงใหม่ให้ตรงกับความชอบของลูกค้าในวงกว้าง หากโพสต์บทความไหนมีผู้เข้าชมจำนวนมาก อาจฝังวิดีโอเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้เข้าชมมากขึ้น

สิ่งสำคัญนอกเหนือจากเทคนิคที่กล่าวมาคือ ทำ SEO ต้องทำเพื่อประสบการณ์ของผู้ใช้ แล้วทุกอย่างจึงจะครบองค์ประกอบทำให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้

เหตุผลที่ธุรกิจควรทำ SEO ให้เว็บไซต์เติบโต กระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง

เหตุผลที่ธุรกิจควรทำ SEO ให้เว็บไซต์เติบโต กระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง

ทุกวันนี้เจ้าของธุรกิจจัดทำเว็บไซต์โดยปรับแต่งให้สอดคล้องกับเครื่องมือค้นหาหรือ SEO ทำให้กิจการเป็นที่รู้จักแพร่หลาย สามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายมากขึ้นและกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้น นั่นคือเหตุผลหลักที่ควรทำ SEO ด้วยการจ้างทีมงานมืออาชีพเข้ามาปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหาหลัก เช่น Google, Yahoo, Bing เป็นต้น แม้ว่า SEO จะต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ให้ประโยชน์คุ้มค่า ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดในระยะยาว

เหตุผลแรกที่ธุรกิจควรทำ SEO คือปรับปรุงเว็บไซต์ให้เป็นประโยชน์กับผู้ใช้ เพราะเข้าใจว่าผู้ใช้ต้องการอะไรจึงออกแบบโครงสร้างเว็บเพจที่ใช้ง่าย ผู้ใช้งานไม่สับสน สามารถค้นเจอข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็ว ความคาดหวังของผู้ใช้เป็นสิ่งสำคัญ ลองนึกว่าตนเองเข้าเว็บไซต์แล้วไม่พบสิ่งที่ต้องการหรือต้องเสียเวลามาก ก็มักจะออกจากเว็บไซต์และไม่กลับมาใช้งานอีก Google ติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้อยู่ตลอดเวลา ถ้าลูกค้าเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์เพียงช่วงสั้น ๆ จะถูกประเมินว่าได้รับประสบการณ์ที่ไม่น่าพอใจเท่าที่ควร แต่ถ้ามีการใช้งานซ้ำอีกบ่อย ๆ หมายถึงเว็บไซต์เป็นมิตรกับผู้ใช้และสร้างความพอใจ ซึ่งจะทำให้ได้รับการจัดลำดับที่ดีขึ้น

การทำ SEO ไม่เพียงทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักเท่านั้น แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือด้วย ซึ่งการยอมรับจากลูกค้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่ถ้าเว็บไซต์ใช้ง่ายและมีผู้เข้าชมจำนวนมากเข้าใช้บริการอย่างต่อเนื่องย่อมการันตีความน่าเชื่อถือและมีแนวโน้มที่จะขายได้มากขึ้น

อีกเหตุผลคือการทำ SEO ช่วยกำหนดเป้าหมายกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจง รู้ว่าต้องการอะไรและกำลังค้นหาข้อมูลแบบไหน จากนั้นกำหนดคีย์เวิร์ดให้ตรงจุดจากการค้นหาเทรนด์ของสินค้ายอดนิยม สิ่งที่น่าสนใจ ตลอดจนสถิติคำค้นหาที่ใช้กันมากเพื่อวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพ ทั้งคำหลักและคำรองที่เชื่อมโยงไปยังข้อมูลที่เกี่ยวข้องซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ผู้ใช้งานค้นหาสิ่งที่พอใจได้มากที่สุด นั่นเท่ากับว่าวางแผนกลยุทธ์ SEO ได้ถูกต้องและเพิ่มโอกาสในการขายง่ายขึ้น

อีกเหตุผลที่สนับสนุนการทำ SEO คือช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางดึงดูดลูกค้าท้องถิ่นมากขึ้น โดยปรับเนื้อหาของเว็บไซต์เพื่อตอบคำถามที่ตรงความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น อาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์ระหว่าง 6-12 เดือนนับจากวันที่เริ่มปรับปรุงเว็บไซต์ ซึ่งเกิดประโยชน์ต่อเนื่องไปอีกหลายปี ข้อมูลเหล่านี้เป็นเหตุผลหลักที่ต้องลงทุนทำ SEO ให้เว็บไซต์มีประโยชน์ต่อลูกค้าและสร้างความพอใจสูงสุดเพื่อเพิ่มยอดคนเข้าใช้และเพิ่มปริมาณยอดขายโดยรวม ช่วยให้ธุรกิจขยายตัวไปอย่างต่อเนื่อง

การทำ SEO เป็นกลยุทธ์ระยะยาวซึ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการโฆษณาผ่านสื่อกระแสหลัก นับเป็นหนึ่งในประโยชน์สูงสุดของการทำ SEO โดยเฉพาะต่อธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้นจะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ จะช่วยลดต้นทุนโฆษณาด้วยการจ้างทีมงานมืออาชีพเข้ามาดูแล SEO เรียกว่าลงทุนไม่สูงเท่าโฆษณาทางตรง แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

3 สิ่งที่ควรรู้ ก่อนการทำ SEO แบบต้นทุนน้อยในปี 2020

3 สิ่งที่ควรรู้ ก่อนการทำ SEO แบบต้นทุนน้อยในปี 2020

การทำการตลาดมีด้วยกันหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Facebook, Twitter หรือ Instagram แต่สิ่งที่คนขาดไม่ได้เลยและมีมานาน 10 – 20 ปี คือการทำ SEO ที่มี search engine โดยในประเทศไทยที่ใช้กันอยู่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จะเป็น Google จุดประสงค์เพื่อให้อยู่ในผลการค้นหาหน้าแรกของ Google เพราะน้อยมากที่จะมีผู้คนเข้าไปดูในหน้าที่สอง จนทำให้ผู้คนได้กล่าวไว้ว่า ถ้ามีคนเข้าเว็บไซต์เมื่อไหร่ก็จะทำเงินได้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาบอก 3 สิ่งที่ควรรู้ก่อนการทำ SEO แบบต้นทุนน้อยในปี 2020 ดังต่อไปนี้

1.เว็บไซต์จะต้องรองรับมือถือ

การทำ SEO แบบต้นทุนต่ำ เริ่มต้นจะต้องเช็คว่าเว็บไซต์รองรับโทรศัพท์มือถือได้หรือไม่ ด้วยการเข้ามาที่เว็บไซต์ https://search.google.com/test/mobile-friendly จากนั้นให้ป้อนเว็บไซต์ของคุณแล้วกดปุ่ม “URL ทดสอบ” เมื่อตรวจสอบว่ารองรับมือถือแล้ว ก็สามารถทำ SEO ในขั้นตอนอื่น ๆ ต่อไปได้เลย

2.การทำ SEO มี 2 แบบ

แบบที่หนึ่ง Off page SEO เป็นการสร้าง Backlink ซึ่งเป็นลิงก์ที่เชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ สำหรับวิธีการก็จะเป็นการโพสต์เว็บบอร์ด โพสต์ Blog และแลกลิงก์กับเว็บไซต์อื่น ๆ ส่วนแบบที่สอง On page SEO เป็นปัจจัยภายในหรือการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ตรงกับข้อกำหนดของ Google โดยแต่ละหน้าเว็บเพจจะมีคีย์เวิร์ดหลักประมาณ 3 – 5 คำ ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษให้ติด Google เช่น คีย์เวิร์ดชื่อเรื่อง คีย์เวิร์ดขึ้นต้นบทความ หรือจัดอยู่ในช่วงบรรทัดแรก โดยความยาวของบทความอยู่ที่ประมาณ 500 คำขึ้นไป การทำลิงก์ภายในไปยังหน้าบทความอื่น ๆ ด้วยคีย์เวิร์ดของบทความ การใส่ชื่อที่รูปภาพ, ค่า Alt (alternate text) และใส่ชื่อ Title ที่ภาพด้วย ถ้ามีมากกว่า 1 รูป เป็นต้น

3.การทำ SEO เพิ่มผู้เข้าชมเว็บในระยะยาว

การติดอันดับในหน้าแรก Google จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเพิ่มผู้เข้าชมเว็บในระยะยาว ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีผลค่อนข้างมาก ที่สำคัญเป็นการทำการตลาดออนไลน์ที่ใช้ต้นทุนน้อยหรือไม่ต้องเสียค่าโฆษณาทางตรง และเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เพิ่มลูกค้า และช่วยเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นเพราะฉะนั้นจึงต้องทำความเข้าใจถึงความสำคัญของการทำ SEO ซึ่งจะรวมไปถึงการออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับมือถือ มีความรวดเร็วในการโหลดข้อมูลตัวอักษร ภาพ หรือวิดีโอ มีคุณภาพของบทความในส่วนหัวข้อและเนื้อหา โดยเฉพาะคีย์เวิร์ดสำคัญที่ต้องค้นคว้าและเน้นลงในแต่ละหน้าเว็บเพจ

การทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นกระบวนการระยะยาว และครอบคลุมทุกองค์ประกอบในการทำเว็บไซต์ หากทำได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง ก็จะช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ของธุรกิจมีผู้ชมเข้ามาเยี่ยมชมในปริมาณมาก ลดต้นทุนการประชาสัมพันธ์ และมีโอกาสสร้างยอดขายให้เติบโตได้

เข้าใจหลักการ SEO ได้ง่ายขึ้น

ความรู้เบื้องต้นให้คุณเข้าใจหลักการ SEO ได้ง่ายขึ้น

การมีเทคนิคในการทำ SEO จะช่วยให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นและส่งผลต่ออันดับที่ดี คุณจำเป็นต้องศึกษาพอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องของการทำ SEO ให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ด ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีความรู้เบื้องต้นให้คุณเข้าใจหลักการ SEO ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการผลักดันโพสต์หรือหน้าเว็บเพจของคุณให้ติดอันดับต้น ๆ ในหน้าผลการค้นหา โดยมี 4 เรื่องที่ควรรู้ไว้เป็นพื้นฐาน

content ที่ไม่ไปคัดลอกหรือ copy จากใคร

Google เน้นในการทำ content ที่มีประโยชน์ หมายความว่า ต้องเป็น content ที่ไม่ไปคัดลอกหรือ copy จากใคร เพราะฉะนั้นเนื้อหาที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ควรเป็น content ที่เขียนเองหรือเรียบเรียงใหม่และมีองค์ประกอบอย่างครบถ้วน กล่าวคือ มีการแทรกคำคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการเน้น รวมถึงใส่ภาพหรือวิดีโอประกอบอย่างเหมาะสม เพื่อให้เนื้อหามีประโยชน์ต่อผู้อ่าน

เขียนบทความที่ดี

การเขียนบทความที่ดีควรจะมีเนื้อหาหรือเรื่องราวไม่ต่ำกว่า 400 คำ โดยจะต้องมีการแทรกคำคีย์เวิร์ดที่เน้นเป็นพิเศษเป็นระยะ ๆ ไม่มากหรือน้อยเกินไป มีการทำตัวอักษรแบบตัวหนาแบบ H1 H2 H3 ในหัวข้อตามลำดับความสำคัญ หรือการเน้นเป็นแบบตัวเอียง รวมถึงการใส่คำอธิบายภาพไว้ใต้ภาพ เมื่อเข้าใจหลักการเขียนบทความที่ดีก็จะทำให้โพสต์ของคุณติดอันดับ Google ได้ไม่ยากเลย แน่นอนว่าเมื่อคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับ HERO88 แต่หากดันไป copy บทความจากเว็บ hero88 อื่น มันย่อมเป็นเรื่องยากที่จะทำอันดับแซงคู่แข่ง

คีย์เวิร์ดจะไต่อันดับได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาของคู่แข่งด้วย

คีย์เวิร์ด คือ คำค้นหาที่คุณต้องการให้ผู้คนค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอ และแน่นอนว่าทุกคำคีย์เวิร์ดที่คิดไว้นั้น ย่อมมีคู่แข่งอยู่แล้ว แต่การทำ SEO จะยากหรือง่ายนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหาของคู่แข่งได้อยู่มาก่อนนานหรือไม่ บางคีย์เวิร์ดอาจจะสู้คู่แข่งไม่ได้เพราะเขาแข็งแกร่งกว่า อยู่มานานกว่า ก็ต้องพยายามแข่งขันในคีย์เวิร์ดอื่น ซึ่งก็ยังมีหนทางที่สามารถสู้กับคู่แข่งได้ในบางคีย์เวิร์ด ดังนั้นแม้อันดับยังไม่ได้ดังใจหวัง ก็ไม่ควรท้อ คิดในแง่ดีว่าการที่มีคู่แข่งก็เหมือนตัวเปรียบเทียบให้เราพยายามทำ SEO ให้ดีกว่าเดิม

ระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงการจัดอันดับ

เมื่อมีการทำ SEO ผ่านไปสักระยะประมาณหนึ่งสัปดาห์ ถ้ากรณีที่คู่แข่งน้อย คุณก็จะเริ่มเห็นแล้วว่ามีการเปลี่ยนแปลงในการจัดอันดับ ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณได้ทำคีย์เวิร์ดเดิมโดยคู่แข่งที่มีอายุโดเมนไม่ต่ำกว่า 1 ปี คุณจำเป็นต้องทำความเข้าใจการทำ SEO มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะในเรื่องการทำ Backlinks เช่น มีการแชร์ไปยัง Social Profile ต่าง ๆ แชร์ไปยัง Facebook Page หรือ Facebook Group บอกเพื่อนฝูงช่วยกันแชร์ comment ตามเว็บไซต์ เว็บบอร์ด โซเชียลต่าง ๆ ในที่เหมาะสม เป็นต้น

เมื่อคุณเข้าใจหลักการ SEO ด้วย 4 ความรู้เบื้องต้นดังกล่าวข้างต้น ก็จะส่งผลให้ Search Engine จัดอันดับการทำ SEO ได้ง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่สามารถกำหนดอันดับได้เอง ไม่มีใครรับประกันว่าจะติดอันดับบนสุดได้หรือไม่ และติดได้เร็วแค่ไหน เพราะระบบการค้นหาของ Google ยังใช้ปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายมาช่วยในการจัดอันดับ แต่อย่างไรก็ตาม การที่คุณได้ทำ SEO ก็ย่อมดีกว่าไม่ได้ทำ

ประโยชน์ของบทความ SEO 5 ข้อที่แบรนด์จะได้มากกว่าที่คุณคิด

ประโยชน์ของบทความ SEO 5 ข้อที่แบรนด์จะได้มากกว่าที่คุณคิด

ประโยชน์ของบทความ SEO 5 ข้อที่แบรนด์จะได้มากกว่าที่คุณคิด

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าการทำบทความเพื่อดันอันดับ SEO นั้นมีประโยชน์เพียงแค่เรื่องของการเพิ่ม keyword ให้กับเว็บไซต์อยู่ล่ะก็ คุณอาจยังไม่รู้จัก SEO ดีพอ เพราะบทความ SEO นั้นมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิดเอาไว้หลายข้อเลยทีเดียว ว่าแต่จะมีอะไรบ้างนั้น อย่ารอช้า เรามาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

1. ไม่เพียงแค่เพิ่ม keyword แต่เป็นการเพิ่มเนื้อหาที่มีคุณค่าให้กับแบรนด์ได้

เนื้อหาที่มีคุณค่าคือเนื้อหาที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจที่ดีแก่ลูกค้า ซึ่งการทำบทความ SEO มีประโยชน์ทั้งต่อแบรนด์ของคุณเอง และยังเป็นประโยชน์กับลูกค้าที่เข้ามาติดตามเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณด้วย

2. ทำให้เว็บไซต์และช่องทางออนไลน์ของคุณมีการอัปเดตตลอดเวลา

เมื่อมีการทำบทความ SEO ขึ้นมา คุณสามารถนำไปโพสต์ตามโซเชียลมีเดียหรือช่องทางที่แบรนด์ของคุณได้สร้างขึ้นมา โดยการทำบทความ SEO นั้นจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการโพสต์บทความแต่ละครั้งนั้น ก็เป็นการทำให้เว็บไซต์ และหรือช่องทางโซเชียลมีเดียของแบรนด์ที่คุณทำอยู่มีการอัปเดตอยู่เสมอ

3. คุณสามารถสร้างมูลค่าของแบรนด์ได้ไปพร้อม ๆ กับการทำบทความ SEO

เมื่อเวลาผ่านไปบทความ SEO และเนื้อหาทั้งหมดที่คุณอัปเดตลงบนเว็บไซต์รวมถึงช่องทางต่าง ๆ จะกลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งหลายแบรนด์สามารถเพิ่มมูลค่าของแบรนด์ได้จากการทำบทความ SEO ซึ่งแน่นอนว่าราคาของสินค้า บริการ รวมถึงมูลค่าของแบรนด์ที่คุณสร้างขึ้นมานั้น จะเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัวได้แบบไม่ยาก

4. บทความ SEO ช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ได้

ในการทำบทความ SEO คุณเองจะต้องใช้ภาษาและรูปแบบเนื้อหาต่าง ๆ ที่ทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณได้ ฉะนั้นการทำบทความและอัปเดตเนื้อหาลงไปในแต่ละครั้งจึงเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์แบบเนียน ๆ โดยที่ลูกค้าจะค่อย ๆ ซึมซับเอาสิ่งที่คุณเขียนเข้าไปในใจของพวกเขา

5. เป็นอีกหนึ่งวิธีในการทำการตลาดออนไลน์ที่ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายกว่าเดิม

ในการทำการตลาดออนไลน์ วิธีที่จะเข้าถึงลูกค้าที่หลายคนคิดนั้นอาจเป็นการโฆษณาไปตามสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ แต่การสร้างบทความเป็นการที่ให้ลูกค้าเดินเข้ามาหาคุณเอง โดยเริ่มจากความสนใจของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งหากเทียบกับการทำโฆษณาแล้ว การทำบทความ SEO ดูมีชั้นเชิงกว่ามาก

พอเห็นประโยชน์ของการทำบทความ SEO หลายข้อขนาดนี้แล้ว จะรอให้แบรนด์อื่นทำไปก่อนได้อย่างไร ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องมาเริ่มจริงจังกับการสร้างเนื้อหาและบทความดี ๆ ให้กับเว็บไซต์ของตัวเอง เพื่อให้อันดับเว็บไซต์มีโอกาสไต่ขึ้นไปบนหน้าแรกของ search engine ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม

คำศัพท์ที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO

คำศัพท์ที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO

การทำ SEO เป็นแนวทางการทำธุรกิจออนไลน์ยุคใหม่ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอำนาจในการแข่งขันดีขึ้น เมื่อเทียบกับเว็บไซต์อื่นที่มองข้ามประเด็นนี้ไป

แต่ทั้งนี้ ก็ต้องมีการเข้าใจความหมายของคำศัพท์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำ SEO ด้วย ซึ่งบทความนี้จะเป็นพื้นฐานที่ดีในการทำให้ทุกท่านนำไปต่อยอดการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

SEO คืออะไร

SEO ย่อมาจากคำว่า Search Engine optimization เป็นกระบวนการของ Google ที่ทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพสูง และถูกนำเสนอในอันดับบนของหน้าต่างการสืบค้น เช่นเดียวกันกับเวลาที่เราค้นหาข้อมูลในระบบของ Google ที่เรามักจะคลิกเข้าไปดูข้อมูลในเว็บไซต์ที่ปรากฏอันดับ 1 2 3 มากกว่าอันดับล่างหรือหน้าหลัง ๆ

การทำ SEO จะทำให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับต้น ๆ ของหน้าต่างการสืบค้นได้ ซึ่งจะทำให้คุณขายสินค้าและบริการได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง

Keyword คืออะไร

Keyword คือ คำสำคัญที่ผู้เป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายพิมพ์ในช่อง Search ของ Google เพื่อหาว่ามีเว็บไซต์ใดบ้างที่มีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น หากคุณใช้คีย์เวิร์ดที่ดีเหมาะสมในการผลิตบทความ รูปภาพ คลิปวีดีโอ จะเป็นการป้อนข้อมูลลงไปในระบบอย่างอัตโนมัติ จึงเพิ่มโอกาสทำให้ถูกนำเสนอเว็บไซต์ของคุณขึ้นมาก่อนเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่ตรงกับใจลูกค้าผู้บริโภคนั่นเอง

ดังนั้นการศึกษา keyword ด้วยข้อมูลทางสถิติใน Google หรือเทคนิคต่าง ๆ ก็เป็นตัวช่วยที่ดีในการทำให้คุณนำไปทำ SEO ได้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น

SERPs คืออะไร

SERPs หมายถึง search engine result pages เป็นผลลัพธ์ของการสืบค้นหรือหมายถึงหน้าต่างหลังจากหาข้อมูลของคีย์เวิร์ดหนึ่ง ๆ หากเว็บไซต์ของคุณอยู่ในหน้าอันดับ SEPRs ต้น ๆ ก็เป็นแนวโน้มที่ดีที่แสดงว่าการทำ SEO ของคุณนั้นมาถูกทางแล้ว ทำให้การนำเสนอของคุณนั้นเพิ่มยอดขายและสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์สินค้าได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

URL Address คืออะไร

URL Address ของเว็บไซต์ในแต่ละหน้าเพจเป็นสิ่งที่จำเป็นในการแสดงถึงความมีอยู่ของข้อมูล คุณจำเป็นต้องใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมสำหรับการตั้งชื่อ URL โดยใช้ภาษาอังกฤษแทนตัวอักษรภาษาไทยที่อาจมีการสะกดพลาดได้ง่าย และไม่ใช้การเว้นวรรค แต่ใช้การขีดกลางแทน เพื่อไม่ให้มีปัญหาในการเชื่อมโยงระหว่างหน้าเพจ

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเว็บไซด์ที่เปิดมานานแล้ว ก็ควรทำการแก้ไข URL address ของหน้าเพจเก่า ๆ ที่มีปัญหาด้วย เพื่อทำให้การเชื่อมโยงลิงก์นั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะหากมีหน้าเว็บเพจที่เปิดไม่ได้ ก็จะมีผลทำให้อันดับ SEO ตกลงไปด้วยเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าคำศัพท์ที่เรายกมาทั้ง 4 คำนี้ เป็นสิ่งที่คุณควรรู้ตั้งแต่เบื้องต้นก่อนทำ SEO เพื่อที่จะทำให้ต่อยอดในการปฏิบัติได้ดียิ่งขึ้นต่อไป

SEO คืออะไร

เคล็ดลับ! เจาะกลุ่มเป้าหมาย Mobile Site ด้วย SEO

เจาะกลุ่มเป้าหมาย Mobile Site ด้วย SEO

Smart Phone เป็นอุปกรณ์สื่อสารที่สามารถอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตในหลายแง่มุมและยังเป็นอุปกรณ์ที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุด ทำให้การตลาดยุคใหม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการปรับตัวเพื่อเข้าสู่กลุ่มเป้าหมายที่ใช้สมาร์ทโฟนเป็นหลัก

การเข้าสู่เว็บไซต์ผ่านสมาร์ทโฟนมีความแตกต่างจากการเข้าสู่คอมพิวเตอร์หรือ Laptop เนื่องจากหน้าจอที่มีขนาดเล็กกว่าของสมาร์ทโฟน ทำให้การประมวลผลเว็บไซต์สู่สมาร์ทโฟนจึงต้องมีการปรับสัดส่วนใหม่ ทำให้การทำเว็บไซต์ที่ไม่รองรับการเปิดในสมาร์ทโฟนจะทำให้การแสดงผลเว็บไซต์ไม่สมบูรณ์ นอกจากการทำเว็บไซต์ให้รองรับการเปิดในสมาร์ทโฟนแล้ว การทำ SEO บน Mobile Site เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นหลัก

เคล็ดลับทำ SEO บน Mobile Site มีดังนี้

ทำเว็บไซต์ให้โหลดไวที่สุด เนื่องจากพฤติกรรมในการใช้งาน Mobile Site ส่วนใหญ่เป็นการเปิดใช้งานเพื่อฆ่าเวลา โดยคนส่วนใหญ่มักจะกดอ่านข้อมูลที่น่าสนใจผ่านลิงก์ที่แนบไว้บน Social Media ทำให้การโหลดหน้าเว็บไซต์ให้ไวจึงทำให้กลุ่มเป้าหมายที่คลิกเข้ามาอ่านข้อมูลจะได้รับข่าวสารที่เราต้องการสื่อสารได้ดีกว่า เพราะการใช้เวลานานในการโหลดเว็บไซต์อาจทำให้กลุ่มเป้าหมายหมดความสนใจ วิธีง่าย ๆ ที่ทำให้ Mobile Site โหลดไว คือ ไม่ควรนำสื่อจากภายนอกมาแนบลงในหน้าเว็บนั้น เนื่องจาก Smartphone จะต้องใช้เวลานานมากในการดึงข้อมูลจากภายนอกเข้าสู่เว็บไซต์และต้องประมวลผลให้เหมาะกับการแสดงบนสมาร์ทโฟน

ลดการทำโฆษณา Pop–Ups แม้ว่าหลายคนทำเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อสร้างรายได้จากโฆษณา แต่หากกลุ่มเป้าหมายโดยส่วนใหญ่ของเว็บไซต์ใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน การนำลิงก์โฆษณาแบบ Pop-Ups ที่มากเกินไปอาจทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความเบื่อหน่ายได้ ดังนั้นการปรับวิธีการแสดงโฆษณาให้เหมาะกับการใช้งาน Mobile Site จึงเป็นสิ่งสำคัญ

เลือกใช้ Short Keyword ในการทำ Mobile Site เนื่องจากผู้ใช้งานที่ต้องการหาข้อมูลด่วนบน Smart phone อาจมีเวลาไม่มากพอที่จะอ่านข้อมูลทั้งหมดบนเว็บไซต์ได้ การเลือก Keyword ที่กระชับแต่มีจำนวนผู้ค้นหาเยอะมาประยุกต์ใช้กับ Mobile Site จะทำให้กลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจได้มากกว่า

ทำสารบัญไปยังหัวข้อที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ หลายคนมีความสามารถในการทำข้อมูลได้มาก แต่ข้อมูลที่เยอะเกินไปอาจทำให้กลุ่มเป้าหมายหมดความสนใจเพราะไม่ใช่หัวข้อที่ต้องการ การทำสารบัญหัวข้อพร้อมแทรกลิงก์เอาไว้จะทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเลือกหัวข้อที่สนใจได้ด้วยตัวเอง

ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจทั้งหลายที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เพิ่มมากขึ้น จึงควรปรับเว็บไซต์ให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภค และปรับเว็บไซต์ให้สามารถใช้งานบนมือถือได้ โดย Mobile Site เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการทำการตลาดที่สามารถสร้างยอดขายของสินค้าและบริการให้เพิ่มมากขึ้นได้

เคล็ดลับทำ SEO บน Mobile Site

ปัจจัยหลัก ในการทำ SEO ที่ส่งผลต่อเว็บไซต์ของคุณ

ปัจจัยหลัก ในการทำ SEO ที่ส่งผลต่อเว็บไซต์ของคุณ

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความสนใจให้เว็บไซต์ของตัวเองติดอันดับบน search engine ด้วยวิธีการที่เราเรียกว่า SEO นั้น คุณจะต้องรู้ว่าการทำ SEO นั้นไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของการวางแผนคีย์เวิร์ดและการสร้างเนื้อหาเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการขึ้น อันดับ SEO โดยตรง ซึ่งมีทั้งหมดอยู่ 3 ปัจจัยด้วยกัน ถ้าพร้อมแล้วเรามาดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

3 ปัจจัยในการทำ SEO

1. โครงสร้างของเว็บไซต์ (Website structure) การที่ bot ของ search engine จะสามารถเข้าไปเก็บข้อมูลบนเว็บไซต์ของคุณได้ยากหรือง่ายนั้น ขึ้นอยู่กับโครงสร้างเว็บไซต์ เช่น การจัดเรียง menu, category, และการเรียงลำดับหน้าของเว็บไซต์ หากเว็บไซต์ของคุณมีความซับซ้อน มีการจัดวางที่ไม่มีความเป็นระเบียบ ก็จะทำให้ bot เข้าไปเก็บข้อมูลได้ยาก ในทางเดียวกันหากมีคนเข้าไปหาข้อมูลในเว็บไซต์ก็จะทำให้คนหาข้อมูลยากมากขึ้นและไม่อยากเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณอีก ซึ่งแน่นอนว่ามีผลต่อการไต่ขึ้นอันดับ SEO อย่างแน่นอน

2. องค์ประกอบต่าง ๆ ในเว็บเพจ (On-page factors) On-page คือการจัดการ SEO ที่อยู่ภายในเว็บไซต์ เช่น การสร้างเนื้อหา, การทำ internal link, การสร้าง meta description และอื่น ๆ ซึ่งหลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางในการทำ SEO ของ creator ทั้งหลาย โดยหลายบริษัทได้ให้ความสำคัญกับการทำ SEO แบบ On-page กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือว่ามีความสำคัญที่จะช่วยเพิ่มอันดับให้กับ SEO ได้ หากเว็บไซต์ของคุณมีการทำ On-page มาเป็นอย่างดี ก็ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งและมีโอกาสติดอันดับมากขึ้นกว่าเว็บไซต์อื่น ๆ นอกจากนี้การมี On-page ที่ดีนั้นยังถือว่าเป็นการสร้างแบรนด์และภาพลักษณ์ให้กับเว็บไซต์ไปในตัวเมื่อมีคนเข้ามาเยี่ยมชมในเว็บไซต์อีกด้วย

3. ปัจจัยภายนอก (Off-page factors) เมื่อพูดถึง Off-page หลายคนอาจยังไม่เข้าใจและไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง เราสามารถอธิบายได้ง่าย ๆ ว่าเป็นการทำ SEO ที่อยู่นอกเว็บไซต์ หรือที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการทำ backlink เพื่อให้มี traffic กลับเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ เช่น การโปรโมท link ใน social media เพื่อให้คนคลิกเข้าไปในเว็บไซต์, การ insert link ไว้บนเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหรือเนื้อหาที่คุณต้องการสื่อสาร โดยการทำ Off-page ค่อนข้างมีผลต่อ SEO มากเลยทีเดียวล่ะ เพราะยิ่งเว็บไซต์ของคุณมี traffic มากเท่าไหร่ bot ของ search engine ก็จะยิ่งดันอันดับเว็บไซต์ของคุณให้ขึ้นไปอยู่ในหน้าแรก ๆ ได้

เราเชื่อว่าหากคุณมีความเข้าใจเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำ SEO ทั้ง 3 อย่างนี้แล้ว จะทำให้คุณมองเห็นภาพรวมในการเริ่มต้นทำ SEO ได้ง่ายมากขึ้น และช่วยต่อยอดความรู้ในการทำ SEO ของคุณ ให้สามารถพัฒนาเว็บไซต์ของคุณจนขึ้นอันดับบนหน้าแรกของ search engine ได้

Off-page factors