ไม่ว่าธุรกิจประเภทไหนก็ย่อมต้องมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจออนไลน์ที่มีการแข่งขันกันชนิดที่เรียกว่าห้ามกระพริบตาเลยทีเดียว เนื่องจากผลกระทบโดยตรงจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำอย่างหนัก การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาของเทคโนโลยีดิจิทัล และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจส่วนใหญ่เริ่มปรับตัวหันมาทำการตลาดด้วยระบบดิจิทัล หรือ Digital Marketing กันมากขึ้น แลนี่คือ 9 วิธีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO มาฝากบรรดาผู้ที่สนใจการทำธุรกิจการตลาดแบบออนไลน์
- การสร้าง Content ที่มีคุณภาพ และเป็นที่ต้องการของผู้เข้าชมเว็ปไซต์ หากคุณสร้าง Content ซ้ำกับเว็บไซต์อื่น นั่นหมายความว่าอันดับในการค้นหาและพบเจอธุรกิจของคุณก็จะแย่ลงไปด้วย
- การจัดวาง Keyword อย่างเหมาะสมกับเนื้อหาของบทความ ปัจจุบันการทำ SEO โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Google จะเน้นเนื้อหาและคีย์เวิร์ดที่ส่งเสริมกันอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่การใส่คีย์เวิร์ดแบบยัดเยียดเหมือนในอดีต
- การทำ Long tail Keywords หรือ การใส่คีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาที่มีความเฉพาะเจาะจงสูง และเติมคำต่อท้ายคีย์เวิร์ดหลักที่มีความหมายกว้าง แต่มีความหมายเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น แอลกอฮอล์สำหรับล้างมือ, แอลกอฮอล์ล้างมือขนาดพกพา เป็นต้น จะช่วยเพิ่มกลุ่มเป้าหมายเฉพาะให้กับธุรกิจบริการมากขึ้น
- ไม่ควรนำลิงก์ไปใว้ในไดเรกทอรี่ (web directories) เพราะจะทำให้ Google มองว่าลิงก์นั้นเป็น Spam และขาดความน่าเชื่อถือไปในทันที
- เลิกทำการตลาดด้วยวิธีไป Comment ต่าง ๆ เพราะการแทรกลิงก์เว็บไซต์ของสินค้าและบริการไว้ตามComment ต่าง ๆ จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะปัจจุบัน Google ถือว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ลิงก์กลายเป็น Spam ไปโดยปริยาย
- การทำ Mobile Optimization ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาบนมือถือ เพิ่มโอกาสในการช้อปปิ้งให้แก่ลูกค้ามากขึ้น จากการสำรวจของ Google พบว่า ลูกค้าธุรกิจและบริการนิยมใช้มือถือค้นหาสินค้าและบริการต่าง ๆ มากกว่า การใช้เครื่อง PC และโน้ตบุ๊ก นอกจากนี้ยังพบว่าสถิติในเช้าวันจันทร์มีการใช้งานอุปกรณ์มือถือเพื่อเปิดอีเมลทำงานและช้อปปิ้ง สูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย
- การทำ Metadata ของเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้แก่ ข้อมูลรายละเอียดที่อธิบายถึงความเป็นมาของ ธุรกิจ สินค้าและบริการนั้น ๆ เช่น ข้อมูล ชื่อผู้แต่ง ชื่อเจ้าของผลงาน ผู้รับผิดชอบ ปีที่ผลิต ชื่อเรื่องที่เขียน ซึ่งหากมีรายละเอียดที่มากขึ้น ก็จะช่วยให้สะดวกต่อการจัดการและสืบค้นได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
- ความยาวของTitle Tags หรือชื่อหน้าของเว็บเพจ ควรอยู่ที่ 10 ถึง 70 characters เพราะโดยปกติ Google จะแสดง Title บนหน้าเพจแสดงผลอันดับการค้นหาในขนาดไม่เกิน 70 ตัวอักษร หากยาวเกินไป Google ก็จะตัดทิ้งโดยอัตโนมัติและไม่แสดงให้เห็นอีก ดังนั้น เทคนิคการใส่คีย์เวิร์ดจำนวนมากในชื่อ Title แบบในอดีต จึงไม่มีผลต่อ SEO ในปัจจุบัน
- การสร้าง Content ที่มี Keyword แบบมีคุณภาพ และอัปเดตเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ใน Google มากกว่าการใช้ Keyword แบบเน้นปริมาณ เพราะ Google ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีความสดใหม่ ซึ่งจะได้รับความสนใจอย่างสูงจากผู้ใช้บริการด้วยเช่นกัน