การตลาดแบบ SEO และ SEM แตกต่างกันอย่างไร

การตลาดแบบ SEO และ SEM แตกต่างกันอย่างไร

การทำ SEO และ SEM เป็นเทคนิคการประชาสัมพันธ์ที่กูรูทางการตลาดแนะนำให้นักธุรกิจยุคใหม่ศึกษา เพื่อเลือกใช้ให้ถูกต้องตามสถานการณ์ และยังเป็นการพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์ให้มีความน่าเชื่อถือเป็นมืออาชีพ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาวด้วย ซึ่งการทำ SEO และ SEM มีข้อแตกต่างกันดังต่อไปนี้

SEO หรือ Search Engine Optimization

เป็นการพัฒนาเว็บไซต์อย่างรอบด้าน เพื่อให้มีอันดับในการแสดงผลในหน้าต่างการสืบค้นที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้แก่ Search Engine อย่าง Bing, Yahoo และ Google แต่อย่างใด โดยประกอบด้วย 2 ส่วนคือ On-Page SEO และ Off-Page SEO ได้แก่

On-Page SEO- การใช้ Keyword ที่เหมาะสม ในการเขียนหัวข้อ สร้างบทความที่มีคุณภาพ ตั้งชื่อรูปภาพ ฯลฯ ซึ่งยิ่งมี Keyword มากก็จะทำให้มีโอกาสถูกสืบค้นเจอได้มากขึ้น แต่ก็ไม่ควรมากเกินกว่า 2-3 Keyword ต่อบทความ และไม่ซ้ำเกิน Keyword ละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ถูกวิเคราะห์จากระบบ AI อัจฉริยะของ Search Engine ว่าเป็นเพจขยะหรือสแปม ซึ่งจะส่งผลให้ถูกลดทอนอันดับ SEO ลงไป

Off-Page SEO- สร้าง Backlink เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์หลาย ๆ แห่งเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ วิธีที่ได้ผลดีคือ การแสดงความคิดเห็นที่เป็นข้อเท็จจริงตรงไปตรงมา ตามห้องสนทนาในโซเชียลต่าง ๆ เมื่อมีผู้ที่สนใจสินค้าหรืออยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คุณจึงแปะลิงก์เพื่อให้คนบุคคลเหล่านั้นคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ วิธีการนี้เป็นเทคนิคขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นได้ และทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์ดีขึ้นด้วย

การทำ SEO ทั้งสองส่วนเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน และช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้

SEM หรือ Search Engine Marketing

จะเป็นการทำการตลาดแบบโฆษณา ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายให้กับ Search Engine อย่าง Bing, Yahoo และ Google ซึ่งจะมีการประมูลพื้นที่โฆษณาระหว่างคุณและบริษัทคู่แข่งที่เลือกใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน

ผู้ที่จ่ายเงินในการประมูลสูงก็จะได้ตำแหน่งที่ดีในการโฆษณาไป และต้องมีการจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแบบ Pay Per Click หรือ PPC คือ เมื่อมีผู้คลิกเข้าไปในชมข้อมูลในเว็บไซต์ของคุณตามที่โฆษณา จะต้องจ่ายเงินให้แก่ Search Engine ทุกครั้ง

วิธี SEM มีข้อดี คือ การันตีได้ว่าเว็บไซต์คุณจะปรากฏสู่สายตาของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับการทำโปรโมชั่นสินค้า เช่น ช่วงเทศกาลวันปีใหม่ หรือคริสต์มาส ที่จะมีคนมองหาสินค้าเพื่อเป็นของขวัญ หากใช้วิธีการ SEO อย่างเดียว จะต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนา ซึ่งจะไม่สามารถสร้างอันดับในผลการค้นหาที่สูงขึ้นให้ทันต่อเทศกาลในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO และ SEM มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทำร่วมกันได้ ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า การวางแผนและเป้าหมายของการทำเว็บไซต์ที่ต้องพิจารณาอย่างเหมาะสม

SEO หรือ Search Engine Optimization

ชวนรู้จักคีย์เวิร์ด (keyword) สำหรับเขียนบทความ SEO

ชวนรู้จักคีย์เวิร์ด (keyword) สำหรับเขียนบทความ SEO

การขายสินค้าออนไลน์จะต้องมีการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ ซึ่งวิธีที่นิยมมากในปัจจุบัน คือการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อให้เว็บไซต์มีอันดับการสืบค้นที่ดี ซึ่ง SEO แบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ

1. Off-page SEO หรือ การสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ภายนอกเพื่อเพิ่มฐานลูกค้า

2. On-page SEO คือ การทำบทความที่มีคุณภาพให้ประโยชน์สาระแก่ผู้อ่าน

ในส่วนของการทำบทความ SEO จะต้องใช้คีย์เวิร์ด (keyword) ที่เหมาะสม เพื่อดึงดูดใจผู้อ่านและทำให้การจัดอันดับดีขึ้น ซึ่งเราสามารถแบ่งคีย์เวิร์ดออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1. Niche Keyword เป็นคีย์เวิร์ดที่เป็นคำเฉพาะ เช่น รุ่นและยี่ห้อของโทรศัพท์มือถือ เช่น Huawei P Series ถ้าคุณทำธุรกิจออนไลน์เป็นร้านจำหน่ายคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์อื่น ๆ ก็ควรจะระบุรุ่นของสินค้าให้ชัดเจน

เช่น Notebook รุ่น Acer Switch One 10 SW110-1CT เพื่อทำให้ลูกค้าที่สนใจในสินค้าในรุ่นนั้น ๆ อยู่สามารถเจอเว็บไซต์คุณและคลิกเข้ามาดูข้อมูลสินค้าแบบละเอียดได้จะทำให้มีโอกาสขายสินค้าได้มากขึ้น

2. Mass Keyword เป็นคีย์เวิร์ดแบบคำกว้าง ๆ ที่ไม่ได้ระบุรุ่นสินค้าอย่างเช่นแบบแรก เช่น คำว่าโทรศัพท์ โทรทัศน์ อุปกรณ์ก่อสร้าง ผ้าม่าน ผ้าห่ม ของใช้สำหรับเด็ก ดอกไม้ เป็นต้น คีย์เวิร์ดแบบนี้จะมีการใช้แพร่หลาย ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับยากกว่าแบบ Niche Keyword

Mass Keyword เหมาะกับการทำบทความแนวทั่วไปให้ผู้ที่สนใจเข้ามาอ่านข้อมูล เช่น ผู้ที่สนใจซื้อรถยนต์มือสอง แต่ไม่รู้วิธีการเลือกก็สามารถหาอ่านบทความเกี่ยวกับการเลือกซื้อรถมือสองที่มีคุณภาพ เพื่อนำไปใช้พิจารณารถก่อนซื้อ เป็นต้น

3. Keyword ที่มาจากการสะกดคำผิด ตัวอย่างเช่นคำว่า เว็บไซต์ ถ้าพิมพ์เป็นภาษาไทย อาจมีการสะกดผิดได้หลายแบบ ซึ่งมีการนำไปใช้เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่สนใจหาข้อมูลแต่สะกดคำผิด ให้ยังสามารถหาข้อมูลในเว็บไซต์ได้เช่นเดียวกัน

4. Long-Tail Keywords เป็นการใช้คีย์เวิร์ดที่มีความยาวมากขึ้น จากการศึกษาด้วย Google Search หาคำข้างเคียงที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมักจะพิมพ์หาในช่องการสืบค้น เช่น เลือกรองเท้า+วิ่งมาราธอน แล้วนำคำนี้ไปเขียนเป็นบทความในหัวข้อต่าง ๆ เช่น วิธีเลือกรองเท้าที่ถูกต้องสำหรับการวิ่งมาราธอน เลือกรองเท้าวิ่งมาราธอนแบบไหนดีที่สุด ฯลฯ

การใช้ Long-Tail Keywords จะทำให้เพิ่มโอกาสในการขายได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากและจะช่วยเพิ่มอันดับในหน้าต่างการสืบค้นได้ดีขึ้นด้วย

การทำบทความ SEO ให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จได้ดี จึงควรที่จะศึกษาข้อมูล โดยเฉพาะที่ตรงกับคีย์เวิร์ดที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายค้นหาและต้องเหมาะกับธุรกิจออนไลน์ที่ทำ ซึ่งเจ้าของธุรกิจจะเขียนบทความเองหรือจะจ้างนักเขียนบทความ SEO ที่มีประสบการณ์ก็ได้

ชวนรู้จักคีย์เวิร์ด (keyword) สำหรับเขียนบทความ