คำศัพท์สำคัญที่คนทำ SEO มือใหม่ต้องเข้าใจ

คำศัพท์สำคัญที่คนทำ SEO มือใหม่ต้องเข้าใจ

งานทุกสายล้วนมีคำศัพท์ทางเทคนิคมากมายที่สร้างความปวดหัว จนทำให้มือใหม่ที่เพิ่งก้าวเท้าเข้าสู่วงการเกิดความสับสน การทำ SEO ก็ไม่แตกต่างกัน เพราะมีคำศัพท์ใหม่ที่ต้องทำความเข้าใจอยู่หลายคำ เจ้าของแบรนด์ที่มีการจ้างงานเพื่อการทำการตลาดด้วย SEO อาจคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องเข้าใจ แต่ถ้ารู้ไว้จะสามารถสื่อสารกับผู้ดูแลเรื่องการทำ SEO ได้ดีขึ้น วันนี้เราได้ทำการสรุปคำศัพท์พื้นฐานที่มือใหม่ในวงการทำ SEO ต้องรู้มาอธิบายให้ฟัง

  1. SERP

คำนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นตัว โดยคำเต็มของ SERP คือ Search Engine Results Page ซึ่งหมายถึงผลลัพธ์การค้นหาที่ปรากฏขึ้นมาจากการเสิร์จของผู้ใช้บริการในโลกออนไลน์ ถ้าหากเว็บไซต์ที่เรากำลังพัฒนาติดบนหน้าแรกของ SERP หมายถึงลำดับการค้นหาที่สูงขึ้น และนำไปสู่โอกาสที่ผู้บริโภคจะตระหนักรู้ถึงสินค้าและบริการที่ธุรกิจต้องการขายได้มากขึ้น ดังนั้นทุกคนจึงมีเป้าหมายที่จะอยู่ด้านบนสุดของ SERP นั่นเอง

  1. Keyword

หมายถึงสิ่งที่ถูกนำมาใช้ในการเสิร์จหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตของผู้ที่ต้องการค้นหาสินค้าและบริการ ซึ่งอาจจะเป็นคำเดียวหรือมากกว่านั้น อาจจะเป็นกลุ่มคำ วลี หรือแม้แต่ประโยคคำถามก็สามารเป็นไปได้ ทำให้การคัดเลือก Keyword ที่น่าจะตรงใจกับการค้นหาของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ และสิ่งนี้จะถูกนำมาใช้บนหน้าเว็บไซต์เพื่อให้ปรากฏขึ้นบนผลการค้นหาหรือ SERP นั่นเอง

  1. Keyword Stuffing

คือการทำ SEO ที่ไม่เหมาะสมรูปแบบหนึ่ง โดยเป็นการยัดเยียด Keyword ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา เข้าไปในหน้าเพจเพื่อให้มีโอกาสติดอันดับบน SERP ได้มากขึ้น โดยมักจะมีการใช้คำซ้ำ ๆ วกไปวนมา แต่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งสิ่งนี้อาจทำให้โดนลงโทษจากระบบการตัดสินอับดับและทำให้เว็บไซต์หลุดออกจากผลการค้นหาไปเลยทีเดียว ดังนั้นไม่ควรใช้ Keyword Stuffing ในการทำ SEO โดยเด็ดขาด และควรเลือกใช้บริการผู้เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพจะทำให้การทำ SEO ดูเป็นมืออาชีพ

  1. On-page SEO

หมายถึงการสร้างเนื้อหาและการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ของตัวเอง โดยอาจมีการใส่ลิงก์จากหน้าโฮมเพจเข้าไปในส่วนของเนื้อหาต่าง ๆ โดยต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบและสามารถเข้าใจง่าย สะดวกสบายต่อการใช้งาน จึงจะส่งผลลัพธ์ที่ดีต่อการทำ SEO

  1. Off-page SEO และ Backlink

สิ่งนี้คือการเชื่อมโยงจากเนื้อหาภายนอกเว็บไซต์เข้ามายังเว็บธุรกิจ โดยอาจมาในรูปแบบของการรีวิว การแนะนำ การให้ความรู้ หรือการอ้างอิง โดยลิงก์ที่ถูกเชื่อมกลับมาที่เว็บไซต์จะถูกเรียนว่า Backlink จุดมุ่งหมายในการทำ SEO คือการสร้างลิงก์จากภายนอกที่มีคุณภาพ ในปริมาณที่มากพอ จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือและสามารถติดหน้าแรก ๆ ของอันดับการค้นหาได้อย่างง่ายดาย

ทุกคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำ SEO ใหม่ ๆ คงจะเข้าใจสิ่งทีมืออาชีพด้านนี้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้มากขึ้นจากคำศัพท์พื้นฐานที่เรานำมาแนะนำกันในวันนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับการทำงานของทุกคน แต่อย่าลืมว่ายังมีคำศัพท์อีกมาก แถมยังมีคำศัพท์ทางดิจิตอลใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอด ดังนั้นต้องหมั่นอัพเดทความรู้ จะได้เข้าใจการทำงานและการพัฒนาของวงการ SEO ได้ดีขึ้น

เปลี่ยนวิธีคิด สร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ด้วยการทำ SEO

เปลี่ยนวิธีคิด สร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ด้วยการทำ SEO

ช่องทางการทำธุรกิจในทุกวันนี้ก้าวกระโดดไปกว่าอดีตที่ผ่านมา ทั้งเจ้าของแบรนด์และนักลงทุนต่างก็มีการปรับตัวเพื่อให้สามารถยังไปต่อและเติบโตมากขึ้นได้ การทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ ทำแบรนด์ให้ปังมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น การทำ SEO ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ ซึ่งจะมีวิธีและแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้นตามไปดูกัน

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization พูดง่าย ๆ ก็คือการปรับแต่งเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของทางแบรนด์ที่จะทำให้เว็บไซต์นั้นสามารถค้นพบได้ง่ายมากขึ้น โดยไปติดอันดับเว็บไซต์ที่อยู่ในหน้าแรก ๆ ของการค้นหานั่นเอง ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวแต่จริง ๆ ทุกเว็บไซต์สามารถทำได้เพียงแต่ต้องมีวิธีการและแนวทางที่ถูกต้อง

  • เนื้อหาภายในเว็บไซต์จะต้องมีคีย์เวิร์ดที่ตอบโจทย์ โดยควรจะเป็นคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณคำค้นหาต่อเดือนที่สูง โดยเลือกคีย์เวิร์ดตามกลุ่มเป้าหมายที่สนใจ ซึ่งในส่วนนี้ก็จะต้องมีความสอดคล้องกับสินค้าและบริการที่ทางแบรนด์ต้องการนำเสนอด้วย โดยสามารถที่จะวิเคราะห์และศึกษาถึง ความสนใจ ความชอบ ปัญหา ความวิตกกังวลและรูปแบบภาษาที่ทางกลุ่มเป้าหมายมักจะเลือกใช้ ก็จะทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลออกมาได้อย่างตรงจุดและมีความละเอียดขึ้น
  • ให้ความสำคัญในเรื่อง mobile friendly ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของเว็บไซต์ ก็ควรที่จะมีหน้าเว็บไซต์ที่มีการใช้งานง่ายสำหรับการเข้าสู่เว็บไซต์ผ่านโทรศัพท์มือถือ เนื่องด้วยในปัจจุบันมีการใช้งานโทรศัพท์มือถือเพิ่มมากขึ้น ทาง google ก็เห็นความสำคัญในส่วนนี้เช่นกัน ซึ่งจะมีการจัดอันดับและการจัดทำดัชนีสำหรับโทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่ด้วย เจ้าของเว็บไซต์ที่ตั้งใจสร้างเนื้อหาที่ดีและมีประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง ถ้ามีการเสริมตรงส่วนนี้เข้าไปก็จะทำให้มีโอกาสในการติดอันดับเว็บไซต์ต้น ๆ ในหน้าการค้นหามากยิ่งขึ้น 
  • อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามนั่นก็คือเมื่อกดคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์แล้ว ความเร็วและประสิทธิภาพการดาวน์โหลดตอบโจทย์ผู้เข้าชมหรือไม่ โดยความเร็วในการดาวน์โหลดเว็บไซต์ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการทำ SEO อย่างมากทีเดียว
  • และในส่วนของเนื้อหาที่นำไปลงในเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นบทความสั้นหรือบทความยาวควรที่จะเป็นเนื้อหาที่สดใหม่ ไม่ได้ไปลอกเลียนแบบมาจากเว็บไซต์อื่น ๆ ควรที่จะมีสไตล์เป็นของตนเอง แสดงออกได้ถึงการเป็นเจ้าของเนื้อหาอย่างแท้จริง

จากรายละเอียดเนื้อหาเกี่ยวกับ SEO ข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่ารูปแบบขั้นตอนและเทคนิควิธีการทำ SEO มีด้วยกันหลากหลายส่วน ถ้าจะเน้นที่จะโฟกัสที่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งก็คงไม่สามารถทำให้การทำ SEO ประสิทธิภาพอย่างที่ตั้งใจได้ ซึ่งถ้าทางเจ้าของเว็บไซต์มีความสนใจก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม

คอนเทนต์ SEO ต่างจากคอนเทนต์ทั่วไปยังไงบ้าง

คอนเทนต์ SEO ต่างจากคอนเทนต์ทั่วไปยังไงบ้าง

หลายคนที่กำลังทำ SEO อาจจะคิดว่าบทความที่ใช้ในการทำ SEO เป็นแค่บทความธรรมดา เขียนให้เข้าใจง่าย น่าอ่านและถูกต้องคงเพียงพอแล้ว แต่จริง ๆ การทำบทความสำหรับ SEO ไม่ได้เขียนเพื่อให้ผู้อ่านบนโลกออนไลน์ถูกใจเท่านั้น แต่ต้องเน้นไปที่หลักการที่ใช่สำหรับอัลกอริทึมของ Google ด้วย ดังนั้นบทความทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันอยู่แน่นอน ซึ่งบทความของ SEO มีเทคนิคในการเขียนให้ประสบความสำเร็จอยู่ดังนี้

  1. เลือกคีย์เวิร์ดอย่างชาญฉลาด

การเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับบทความใน SEO ไม่สามารถเลือกแบบสุ่มได้ แต่ต้องเลือกคำที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ที่มีปริมาณในการเสิร์จอยู่ในระดับดี สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังสามารถพิจารณาการลดคู่แข่ง ด้วยการใช้คีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงหรือระบุตำแหน่งได้ ซึ่งการเลือกคำที่ใช้ต้องมีการทำรีเสิร์จอย่างจริงจังจึงจะประสบความสำเร็จ

  1. ใส่ใจกับตำแหน่งในการใส่คีย์เวิร์ด

ตำแหน่งของการวางคีย์เวิร์ดในบทความต้องมีการกระจายตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ยัดเยียดหรือใส่ไปแบบไร้ความหมาย เพราะอาจจะถูกแบนจาก Google ได้เลยทีเดียว นอกจากนั้นยังต้องใส่ใจในการใส่คีย์เวิร์ดในส่วนต่าง ๆ ของเพจเช่น ในชื่อของบทความ หัวข้อเรื่อง URL และ Meta Description ของเพจ เพราะตำแหน่งทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อการพิจารณาลำดับของการปรากฏของเว็บไซต์บนผลการค้นหา

  1. ความยาวที่ใช่สำหรับ SEO

บทความที่ดีสำหรับ SEO ไม่ควรสั้นหรือยาวเกินไป เพราะสั้นเกินไป จะไม่สามารถสามารถครอบคลุมคีย์เวิร์ดได้ในความถี่ที่เหมาะสม และยิ่งเนื้อหายาวจะยิ่งมีข้อมูลมากพอที่ Google จะตรวจสอบว่าเนื้อหามีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดจริงหรือไม่ แต่ไม่ควรยาวเกินไปเพราะจะจับใจความได้ยากสำหรับผู้อ่านเช่นกัน ซึ่งความยาวที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 500-100 คำ 

  1. ใส่ข้อมูลรูปภาพให้ Google เข้าใจ

การนำภาพมาใส่ประกอบบทความสามารถใช้ดันอันดับ SEO ได้ดีเช่นกัน แต่การเลือกภาพไม่ใช่จะเลือกจากความสวยงามเท่านั้น เพราะ Google ไม่สามารถมองเห็นภาพได้เหมือนมนุษย์ ลักษณะภาพที่ดีคือมาจากแหล่งที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ และต้องมีการใส่คีย์เวิร์ดในชื่อกับ alt text ของรูปภาพด้วย เพื่อบอกให้ซอฟต์แวร์รู้ว่าภาพที่นำมาประกอบคืออะไรและเกี่ยวข้องกับบทความอย่างไรบ้าง

  1. หมั่นอัปเดตคอนเทนต์เสมอ

บทความทั่วไปหลังจากเผยแพร่ไปแล้วอาจจะไม่จำเป็นต้องกลับมาแก้ไขหรือปรับปรุงบ่อยเท่าบทความ SEO เพราะ SEO มีการพิจารณาเรื่องปริมาณการเข้าถึงบทความและความสดใหม่ของเนื้อหาด้วย ดังนั้นต้องมีการปรับปรุงให้ตอบโจทย์ของ SEO อย่างสม่ำเสมอ

เมื่อรู้ดังนี้แล้วนักเขียนที่เคยเขียนบทความทั่วไปที่ต้องการเริ่มทำงานในตลาดของ SEO หรือผู้ที่สนใจเรื่องวิธีการเขียนบทความ SEO ให้ตอบโจทย์ที่ Google ถูกใจ สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ได้เลย เมื่อเข้าใจวิธีการสร้างคอนเทนต์ได้อย่างเหมาะสม จะมีโอกาสดันอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน

Yoast SEO คืออะไร ทำไมคนทำการตลาดออนไลน์ถึงควรรู้

Yoast SEO คือ เครื่องมือยอดนิยมใน WordPress ที่ช่วยในการปรับแต่ง SEO ให้มีความเหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานตามหลักของ google ได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด โดยเฉพาะคนที่ต้องการทำการตลอดออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ด้วยบทความ จำเป็นที่จะต้องติดตั้งปลั๊กอินที่ชื่อว่า Yoast นี้ เพื่อช่วยในการตรวจสอบคำหรือบทความให้ถูกต้องตามหลัก SEO On-Page เนื่อง Yoast เป็นตัวช่วยในการปรับแต่ง แก้ไข ให้บทความในเว็บไซต์ ให้สมบูรณ์ ถูกต้องตามหลักการค้นหาของ google 

ประโยชน์ของ Yoast SEO ที่มีต่อเว็บไซต์

Yoast เป็นเครื่องมือที่ฟรีและเป็นมิตรกับ google เอามาก ๆ จึงเป็นที่นิยมสำหรับคนที่ทำเว็บไซต์ด้วยโปรแกรม WordPress โดยเฉพาะมือใหม่ด้วยฟีเจอร์ที่คอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับใช้คำหรือข้อความให้ถูกหลัก SEO โดยจะแสดงออกมาในรูปของสีบนตัวอักษร

  • สีเขียว หมายถึง ผ่าน, ทำได้ดี มีความสมบูรณ์มากที่สุด ถูกต้องตามหลัก SEO 
  • สีส้ม หมายถึง ดีแต่ยังไม่สมบูรณ์ ควรทำการปรับปรุงแก้ไข 
  • สีแดง หมายถึง ไม่ผ่าน ต้องแก้ไขโดยด่วน 

ช่วยเลือกคีย์เวิร์ด

นอกจากจะช่วยในเรื่องของการตรวจสอบความสมบูรณ์ ของบทความตามหลัก SEO แล้ว ยังช่วยเลือก Keyword ที่เหมาะสมสำหรับบทความของคุณอีกด้วย 

ช่วยวิเคราะห์และปรับแต่งเว็บไซต์

Yoast SEO ยังมีฟีเจอร์เด่น ๆ ในเรื่องของการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมและถูกต้องตามหลักของ SEO ด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างเว็บไซต์ ดังนี้ 

  • ในส่วนของ Meta Description คือคำอธิบาย เนื้อหาของเว็บไซต์ โดยจะอยู่ในส่วนของ Head โดยข้อความของ Meta Description จะแสดงในหน้าค้นหาของ Search Engine ซึ่ง Yoast จะทำหน้าที่ในการกำหนดความยาวที่เหมาะสมหรือการโฟกัสในส่วนของ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด 
  • XML Sitemaps คือ แผนผังเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ในการนำทางให้ Bot ของ SEO เข้าใจถึงโครงสร้างของเว็บไซต์ คล้ายเป็นไกด์หรือสารบัญให้ Bot ได้ตรวจสอบ เพื่อให้เข้าใจเว็บไซต์ที่ทำมากยิ่งขึ้น หากตรวจพบถึงโครงสร้างที่ไม่เหมาะสมจะทำการแจ้งให้ปรับปรุง แก้ไข เช่น การเชื่อมต่อภายใน, การเชื่อมต่อภายนอก เป็นต้น
  • Canonical URLs คือ URLs ที่มีการเข้าถึงซ้ำ ๆ กันหลาย address หรือมีเนื้อหาที่ซ้ำกัน เช่น hppts://about.com กับ http://aboutus.com จาก URL ดังกล่าวเป็นไปได้ว่าหน้าเพจที่ลิงก์ไปอาจซ้ำกันหรือมีหน้าตาที่เหมือนกัน ซึ่ง Canonical URLs นี้จะช่วยแก้ไขเมื่อพบว่าเนื้อหาของเพจซ้ำกัน ควรได้รับการตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไขและ Canonical URLs ยังช่วยบอก Bot ของ google ว่าเว็บไซต์ดังกล่าวให้ความสำคัญกับเพจหน้าไหนมากที่สุด

สำหรับใครที่มีความสนใจจะทำเว็บไซต์เพื่อการตลาดให้ถูกต้องตามกฎ SEO อย่าลืมที่จะโหลดปลั๊กอิน Yoast มาใช้ โดยเฉพาะมือใหม่ เพื่อที่จะได้เป็นแนวทางในการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาของ google ได้อย่างถูกต้อง เช่นเดียวกันกับการทำเว็บไซต์กีฬาออนไลน์ ทำยังไงให้คำค้นหาของเราติดหน้าแรกของ google อย่างเช่นคำค้นหา ผลบอลสด เป็นต้น แต่อย่าลืมว่า Yoast เป็นเครื่องมือที่ช่วยปรับปรุง แก้ไขเว็บไซต์ให้ถูกต้องตามหลัก SEO มิใช่เครื่องมือที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ 


ยกระดับคอนเทนต์ SEO ให้น่าสนใจด้วยการปรับเนื้อหาและการใช้ภาพ

ยกระดับคอนเทนต์ SEO ให้น่าสนใจด้วยการปรับเนื้อหาและการใช้ภาพ

เพราะการทำ SEO สำหรับธุรกิจออนไลน์ ไม่ได้มีแค่การใช้คำหลักหรือ Keyword ใส่ลงไปในคอนเทนต์เนื้อหาที่นำเสนอให้กับลูกค้าเท่านั้น ถ้าอยากให้ธุรกิจเอาชนะคู่แข่งและแซงขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งใน Search Engine ที่ลูกค้าใช้ได้ มันก็จะต้องมีการปรับกลยุทธ์เพื่อยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำ SEO ของธุรกิจด้วย

ปรับเนื้อหาจากการเล่าประโยชน์เป็นการตั้งคำถาม

หลายธุรกิจมักจะมีการเลือกทำ SEO โดยนิยมใช้คอนเทนต์แบบการนำเสนอประโยชน์ ข้อดี และสิ่งที่จะเข้ามาเป็น Solution ให้กับลูกค้าได้ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ถ้าไม่อยากให้คอนเทนต์จำเจ เราต้องแทรกคอนเทนต์แบบการถาม-ตอบ เข้ามาเพื่อดึงดูดความสนใจและสร้าง Traffic ด้วย

คอนเทนต์แบบจัดอันดับ FAQ หนึ่งรูปแบบของคอนเทนต์ SEO ที่ได้รับความนิยมก็คือการจัดอันดับคำถามที่หลายคนชอบสงสัย ทั้งในตัวสินค้า หรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของธุรกิจ เป็นคำถามที่ลูกค้ามักจะถามซ้ำ ๆ อยู่บ่อยครั้ง ถ้ามีข้อมูลให้ลองเอามาจัดอันดับและนำเสนอแบบ SEO ได้เลย

ใส่คำหลักลงไปในคำตอบ การสร้างคอนเทนต์แบบ FAQ ให้ลงตัว อ่านง่าย และดูเป็นธรรมชาติ และต้องทำให้เป็น SEO ด้วย ตรงนี้ให้เราใส่คำหลัก (Keyword) ลงไปในคำตอบทุก ๆ ข้อ แนะนำว่าอย่ายัดคำหลักเยอะเกินไป ให้แบ่งใช้คำหลัก คำรอง สลับกัน เพื่อให้คอนเทนต์สามารถดึงลูกค้าเข้ามาหน้าเว็บไซต์ได้

เลือกใช้ภาพกับคอนเทนต์ให้ลงตัว

เดี๋ยวนี้ Google ได้มีการพัฒนาความสามารถในการจัดอันดับโดยดูถึงรูปภาพและรายละเอียด มากกว่าแค่การนับจำนวนคำหลักแล้ว นั่นหมายความว่าทุก ๆ คอนเทนต์ที่ทำ SEO ควรมีการนำรูปภาพที่เหมาะสมมาใส่และเลือกให้ลงตัวเพื่อให้เกิดความน่าสนใจและส่งผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์

ขนาดของภาพและดีไซน์ที่เหมาะสม เพราะการจัดอันดับหน้าเว็บไซต์จะมีการวัดคะแนน Page Speed ถ้าขนาดของภาพในคอนเทนต์มีความเหมาะสม ไม่ใหญ่เกินไป โหลดได้ไว เว็บไซต์ก็จะได้คะแนนดีในข้อนี้ รวมไปถึงดีไซน์ของภาพที่ควรจะเข้ากันกับเนื้อหาเพื่อให้ลูกค้ามองภาพแล้วเข้าใจได้ทันที

คำอธิบายและการใช้งานในหลายแพลตฟอร์ม สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมเด็ดขาดก็คือการสร้างคำอธิบายเอาไว้ท้ายภาพเพื่อให้ลูกค้าและระบบเข้าใจได้ว่าภาพนั้นคือภาพอะไร แสดงถึงอะไร และในทุก ๆ ภาพที่ใช้ควรมีการถูกทดสอบการแสดงผลในแพลตฟอร์ม เช่น ใน PC, Tablet, หรือ Smart Phone ที่หลากหลายว่ามีการแสดงผลชัดเจนหรือไม่ โหลดไวแค่ไหนด้วย

ด้วยกลยุทธ์ที่ทำให้การทำ SEO ของธุรกิจมีความน่าสนใจและล้ำกว่าคู่แข่งจะเกิดเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดออนไลน์ ที่เป็นอาวุธสำคัญที่ธุรกิจ E-Commerce จะสามารถใช้เป็นอาวุธนำทางธุรกิจไปสู่ความสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้

ถอดกลยุทธ์ที่ทำให้คลิปกลายเป็นไวรัลบน TikTok

ถอดกลยุทธ์ที่ทำให้คลิปกลายเป็นไวรัลบน TikTok

TikTok แอปพลิเคชั่นที่ออกแบบมาเพื่อให้คนทั่วไปสามารถสร้างตัวตนด้วยคลิปสั้นและกลายเป็นที่รู้จักได้ง่าย ๆ แต่ถึงจะง่ายก็ไม่ใช่ใครที่สามารถปั่นคลิปให้เป็นกระแสได้หากคลิปนั้นไม่มีคนดู ในปี ค.ศ. 2022 Tik Tok มีการอัปเดต Algorithm ให้สามารถเลือกสรรคลิปวิดีโอให้ตอบโจทย์ต่อความต้องการของ User มากยิ่งขึ้นและเริ่มพัฒนาให้แอปกลายเป็น Search Engine ที่แสดงผลการค้นหาเป็นวิดีโอ โดยกลยุทธ์ที่ช่วยให้คลิปของคุณกลายเป็นไวรัล มีเทคนิคดังนี้

ใส่คำค้นหา (Keyword) ลงในคำอธิบายคลิป ความแตกต่างระหว่างการโพสต์คลิปวิดีโอลง YouTube กับ Tik Tok คือ ในแอปพลิเคชั่น YouTube จะมีช่องให้เราสามารถตั้งชื่อคลิปวิดีโอแต่ใน Tik Tok จะไม่มีฟังก์ชันนี้ ทำให้เราต้องนำ Keyword ใส่ลงในคำอธิบายแทน

Tip: วิธีการเลือก Keyword สำหรับใส่ลงในคลิปสามารถค้นหาได้จาก Keyword suggestion ในช่องค้นหาและเลือกคำที่มีความเกี่ยวข้องกับคลิปมาใส่ลงไป

อย่าลืมใส่ Hash tag ลงในคำอธิบาย ลักษณะการเขียนคำอธิบายคลิปใน Tik Tok จะมีความคล้ายกับแอพพลิเคชั่น Twitter โดย Hash tag ที่ควรใส่ลงไปจะต้องเป็น Hash tag กระแส เพราะ Algorithm Tik Tok จะดึงเอาคลิปที่ใส่ Hash tag กระแสแสดงผลให้กับ Users ก่อนเสมอ

Tip: หากเปิด Tik Tok ในคอมพิวเตอร์ Hash tag กระแสจะอยู่บริเวณซ้ายมือล่าง แต่หากเปิดแอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน Hash tag กระแสสามารถดูได้จากการเข้าช่องค้นหาในแอปและเลื่อนลงมาด้านล่างสุดจะมี Hash tag กระแสแนะนำอยู่

ใส่เพลงฮิตลงไปเพื่อความปัง เพลงฮิต Tik Tok เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่ขาดไม่ได้ในการทำคลิปวิดีโอเพื่อสร้างไวรัล

Tip: วิธีค้นหาเพลงฮิตสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีเดียวกับการหา Hash tag กระแส

โพสต์คลิปวิดีโอสม่ำเสมอ การโพสต์คลิปวิดีโออย่างสม่ำเสมอเปรียบเสมือนการกระตุ้นการทำงานของ Algorithm Tik Tok นอกจากนี้การทำคลิปที่มีความยาวประมาณ 1 นาทีจะช่วยให้คลิปมีโอกาสเป็นไวรัลมากกว่า

Tip: หากเป็นไปได้ควรโพสต์คลิปอย่างน้อยวันละ 3 – 6 คลิปเป็นประจำทุกวัน โดยอาจแบ่งเป็นช่วงเวลาเช้า กลางวันและเย็น ที่สำคัญต้องโพสต์เวลาเดิมทุกครั้งจะดีมาก

มีส่วนร่วมกับคลิปของคนอื่น การมีส่วนร่วมกับคลิปของคนอื่นเป็นสิ่งที่จะช่วยในการกระตุ้นให้คลิปวิดีโอของเรากลายเป็นไวรัลได้ เนื่องจาก Algorithm Tik Tok จะมองว่าเราต้องการที่จะใช้งาน Tik Tok จริง ๆ ไม่ได้ใช้แอปพลิเคชั่นเอาไว้ฆ่าเวลาเท่านั้น

Tip: 1. ดูคลิปให้จบ 2. กดหัวใจ 3. คอมเมนต์ และหากมีเวลาการเข้าชม live Tik Tok ในสิ่งที่เรากำลังให้ความสนใจและคอมเมนต์พูดคุย มีส่วนร่วมเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มผู้ติดตามได้

หากต้องการสร้างตัวตนใน Tik Tok และทำให้คลิปเป็นไวรัล 5 กลยุทธ์ที่แนะนำข้างบนจะทำให้คลิปกลายเป็นไวรัลบน TikTok ได้

4 เคล็ดลับ เพิ่มผู้ติดตาม Facebook Fanpage ด้วย SEO

4 เคล็ดลับ เพิ่มผู้ติดตาม Facebook Fanpage ด้วย SEO

Facebook เป็น Social media ที่มีจำนวน Users อันดับ 1 ของโลก ทำให้ การสร้าง Facebook Fanpage กลายเป็นพื้นที่สำคัญที่เหล่า Online Marketing และ Online Product ใช้ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ แต่สำหรับผู้ใช้ใหม่ที่ต้องการใช้พื้นที่ Fanpage ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย​ แนะนำให้อ่าน 4 เคล็ดลับทำ SEO บน Fanpage ต่อไปนี้จะทำให้มีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

1.ให้ความสำคัญกับการเลือกรูป Logo และภาพปก
แม้ว่าการตั้งชื่อแฟนเพจจะมีความสำคัญในการทำ SEO แต่หากตั้งชื่อด้วย Keyword (คำค้นหา) เพียงอย่างเดียวแต่ละเลยความสำคัญของโลโก้และรูปปกก็ทำให้กลุ่มเป้าหมายหมดความสนใจได้ การให้ความสำคัญกับการทำโลโก้และรูปปกที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการทำเพจจะช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า​ รวมถึงช่วยในการตัดสินใจกดปุ่มติดตามด้วย

2.สร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจแต่ไม่ต้องยาว
ว่าจะเป็นการเขียนคำอธิบายแฟนเพจหรือการสร้างคอนเทนต์บนแฟนเพจควรนำเทคนิค SEO พื้นฐานมาใช้ คือ การแทรกเนื้อหาด้วยคีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพและผ่านการวิเคราะห์มาแล้วและไม่ควรมีความยาวมากเกินกว่า 300 คำ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ใช้งาน Facebook โดยส่วนใหญ่มักใช้ Facebook เพื่อฆ่าเวลา ดังนั้นการสร้างคอนเทนต์ที่มีความยาวมากเกินไปก็ทำให้ Fanpage หมดความน่าสนใจได้ นอกจากนี้การให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอบ่อย ๆ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ Fanpage มีความน่าสนใจและเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้มีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นได้

3.ทุกครั้งที่โพสต์รูปลง Fanpage ต้องแก้ไขคำอธิบายภาพทุกครั้ง
ในปี ค.ศ.2021 Facebook มีการปรับลูกเล่นบน Fanpage ให้มีความคล้ายคลึงกับการทำเว็บไซต์มากขึ้น​ ทำให้การโพสต์ภาพลงแฟนเพจในปัจจุบันจึงเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ Facebook เพิ่มขึ้นมาเพื่อรองรับการแสดงผลบน Search Engine มากขึ้น โดยเราสามารถเพิ่มปริมาณการเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายได้ด้วยการแก้ไขคำอธิบายภาพด้วยการแทรกคีย์เวิร์ดที่ต้องการ

4.โพสต์คอนเทนต์ในช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายออนไลน์
แม้ว่าคนยุคใหม่จะมีพฤติกรรมในการออนไลน์บน Social media เกือบตลอดเวลา แต่เพื่อให้การโพสต์คอนเทนต์เกิดประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด การให้ความสำคัญกับช่วงเวลาในการโพสต์เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เช่น หากทำเพจเกี่ยวกับอาชีพเสริมสำหรับพนักงานประจำก็ควรเลือกโพสต์คอนเทนต์ในช่วงเวลาพักกลางวันหรือเวลาเลิกงาน เป็นต้น เนื่องจากการโพสต์ถูกเวลาจะทำให้กลุ่มเป้าหมายมีโอกาสเห็นโพสต์ของเราได้มากกว่า

ไม่ว่าจะต้องการทำการตลาดบน Platform ไหนก็ตาม การนำความรู้เกี่ยวกับ Search Engine Optimization หรือ SEO ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น ดังนั้นการหมั่นอัปเดตเทรนด์การทำ SEO บน Platform ต่าง ๆ เพื่อหาวิธีที่มีประสิทธิภาพและทันยุคสมัย​ จะทำให้มีจำนวนผู้ติดตามเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

รวมเหตุที่เจ้าของธุรกิจทุกคนควรทำ SEO

รวมเหตุที่เจ้าของธุรกิจทุกคนควรทำ SEO

เชื่อว่าในยุคนี้ไม่มีใครไม่รู้จักการทำ SEO เพราะนี่คือเทรนด์การตลาดออนไลน์ที่กำลังมาแรงและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง ทำให้หลายธุรกิจที่ไม่เคยคิดทำ SEO กลับต้องหันมาทำการตลาดออนไลน์วิธีนี้ดูบ้าง โดยเฉพาะยุคที่มีการแข่งขันในทุกธุรกิจ และสำหรับใครที่ยังไม่รู้จักว่าการทำ SEO คืออะไร ลองมาดูความหมายพร้อมเหตุผลที่เจ้าของธุรกิจควรทำ SEO เพื่อความสำเร็จระยะยาว

SEO คืออะไร
หากจะให้อธิบายแบบง่าย ๆ ต้องบอกว่า SEO คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นมาอยู่อันดับต้น ๆ ของ Search Engine โดยเฉพาะ Search Engine ยอดนิยมอย่าง Google, Yahoo หรือ Bing ซึ่งแน่นอนว่าหากลูกค้ากดค้นหาและเจอเว็บไซต์ธุรกิจคุณอยู่อันดับต้น ๆ หรือติดอันดับในหน้าแรกจะมีข้อดีตามมาหลายอย่างอย่างแน่นอน

เหตุผลที่เจ้าของธุรกิจควรทำ SEO

  • ธุรกิจเป็นที่รู้จัก
    การทำ SEO นั้น แน่นอนว่าเจ้าของธุรกิจทุกคนต้องคาดหวังให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและมีผู้คลิกเข้าชมเว็บไซต์มากกว่าเดิม ซึ่งการทำ SEO ย่อมเป็นตัวช่วยตอบโจทย์นี้ได้ เพราะเมื่อวันหนึ่งเว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Search Engine โอกาสการมองเห็นจะเพิ่มขึ้นและเมื่อผู้ใช้งานเห็นเว็บไซต์คุณบ่อย ๆ ย่อมทำให้เป็นที่รู้จักอย่างแน่นอน
  • เว็บไซต์น่าเชื่อถือ
    ลองคิดตามว่าหากลูกค้าค้นหาสินค้าหรือบริการและเจอเว็บไซต์คุณติดอันดับต้น ๆ ของ Search Engine นอกจากจะช่วยเพิ่มจำนวนคลิกแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับความนิยมและมีความน่าเชื่อถือจนทำให้ติดหน้าแรก ยิ่งหากคลิกเข้าสู่เว็บไซต์แล้วเจอคอนเทนต์ดี ๆ และบริการที่มีประโยชน์ ยิ่งเพิ่มความมั่นใจได้อีกเท่าตัว
  • จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น
    พฤติกรรมของผู้ใช้ Search Engine มักคลิกไปยังเว็บไซต์ที่ปรากฏอันดับต้น ๆ เสมอ เนื่องจากไม่อยากคลิกหน้าถัดไปให้เสียเวลา เพราะฉะนั้นการที่เว็บไซต์ติดอับดับแรก ๆ นอกจากเพิ่มความน่าเชื่อถือแล้ว ยังเพิ่มจำนวนคลิก เป็นผลทำให้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น และหากผู้ใช้งานอยู่ในเว็บไซต์ของคุณนาน ๆ ยังช่วยเพิ่มคะแนนจาก Search Engine ได้อีกด้วย
  • ประหยัดค่าโฆษณา
    แม้ว่าการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน แต่ถึงอย่างนั้นก็นับเป็นวิธีที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการซื้อโฆษณารวมถึงใช้งบประมาณน้อยกว่าการทำ SEM ที่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณากับ Search Engine อีกทั้งการซื้อโฆษณาอาจให้ผลลัพธ์ระยะสั้น ในขณะที่การทำ SEO กลับให้ผลลัพธ์ระยะยาว

สำหรับธุรกิจใดที่ยังไม่ได้ทำ SEO บอกเลยว่าห้ามมองข้ามการทำการตลาดออนไลน์วิธีนี้เด็ดขาด เพราะจะช่วยให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักระยะยาวและมีโอกาสปั้นธุรกิจให้เติบโต นอกจากนี้ อย่าลืมทำ SEO ร่วมกับการทำการตลาดออนไลน์วิธีอื่นควบคู่ไปด้วย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง

อยากคุ้มค่า ต้องอ่านก่อนจ้าง เว็บไซต์ SEO

อยากคุ้มค่า ต้องอ่านก่อนจ้างทำเว็บไซต์ SEO

การทำเว็บไซต์ให้สามารถถูกลูกค้าเป้าหมายสืบค้นได้เป็นอันดับต้น ๆ ใน search engine นั้น จำเป็นต้องมีการทำ SEO หรือ search engine optimization ซึ่งสามารถทำด้วยตัวเจ้าของกิจการเอง หรือจะจ้างบุคคลภายนอกทำให้ก็ได้ แต่จะมีวิธีการเลือกผู้รับจ้างทำเว็บไซต์ SEO อย่างไรจึงจะเหมาะสมและไม่เสียค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น ในบทความนี้จึงขอนำเสนอประเด็นที่ท่านควรทราบก่อนการจ้างทำ SEO ให้เว็บไซต์เพื่อความคุ้มค่าอย่างที่สุด ดังนี้

อยากคุ้มค่า ต้องอ่านก่อนจ้างทำเว็บไซต์

ผู้รับจ้างทำเว็บไซต์ SEO มีกี่แบบ

ในยุค 2019 ผู้ที่รับจ้างทำเว็บไซต์ SEO มีมากมายนับไม่ถ้วน แต่สามารถจัดแบ่งเข้าเป็นสามประเภท คือ

1. บุคคลทั่วไปที่มีความชำนาญในการทำ SEO มักเป็นพนักงานประจำที่ทุกวันมีหน้าที่งานเกี่ยวข้องกับการทำ SEO อยู่แล้ว โดยมารับงานเป็น freelance นอกเวลา มีข้อดีที่ราคาจะไม่แพง และสามารถพูดคุยอย่างละเอียดได้ มีความยืดหยุ่นสูงในการทำงาน แต่ข้อเสียคืออาจมีผู้แอบอ้างรับงานโดยที่ความสามารถต่ำกว่าเกณฑ์ได้

2. บริษัทที่จดทะเบียนเพื่อรับงาน SEO โดยเฉพาะ เป็นกลุ่มทีมงานที่มีความชำนาญอย่างแน่นอนในงาน SEO มีรูปแบบการทำงานที่ชัดเจน ติดต่อได้ง่ายตลอด 24 ชั่วโมง แต่ก็มีค่าใช้จ่ายในการจ้างงานที่สูงกว่าบุคคลทั่วไป

3. บริษัทที่มี software และทีมงานที่พัฒนาเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง จะมีทีมวิเคราะห์ และโปรแกรมเมอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการทำงาน SEO มีความทันสมัยในข้อมูล และเทคนิคมากกว่าสองแบบแรก แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ามากด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ผู้จ้างควรมีความรู้พื้นฐานในการทำ SEO มาบ้างแล้ว เพื่อให้การพูดคุยปรึกษากันมีความรวดเร็วคล่องตัวยิ่งขึ้น

สิ่งที่ควรมองหาในผู้รับจ้างทำ SEO

การจ้างผู้ใดก็ตามเพื่อให้รับหน้าที่ในการพัฒนาเว็บไซต์ SEO ควรพิจารณาความสามารถ และการมีดัชนีชี้วัดความสำเร็จ ดังนี้

1. สามารถแสดงแผนการปฏิบัติงานที่เป็นรูปธรรมได้ชัดเจน มี timeline ในการทำงานแน่ชัด

2. ให้โอกาสเต็มที่แก่เจ้าของเว็บไซต์ในการเรียนรู้การทำเว็บไซต์ SEO ร่วมกัน

3. สามารถสื่อสารกับผู้ว่าจ้าง (เจ้าของเว็บไซต์) ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ใช้ศัพท์เฉพาะที่ต้องมีการตีความอันอาจเข้าใจผิดพลาดได้

4. ผู้รับจ้างต้องมีการทำรายงานผลปฏิบัติงานรายวันให้ผู้จ้าง

5. มีการรับประกันผลการทำงาน SEO ได้อย่างมีความเป็นไปได้จริงไม่มีการโอ้อวดจนเกินไป

6. มีการแจกแจงราคาค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน โดยระบุในสัญญาอย่างเปิดเผย ไม่มีการคิดรายจ่ายเพิ่มเติมในภายหลัง

อยากคุ้มค่า ต้องอ่านก่อนจ้างทำเว็บไซต์ SEO

จะเห็นได้ว่าการพิจารณาเลือกจ้างผู้ใดทำเว็บไซต์ SEO ให้เจ้าของแบรนด์ ควรมีการเปรียบเทียบราคาและคุณสมบัติของแต่ละราย ทั้งนี้ควรมีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทำ SEO มาก่อนแล้วบ้าง จะลดโอกาสถูกหลอกลวงหรือเสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าที่ควร และยังทำให้สามารถหวังผลได้อย่างเหมาะสมตามที่ควรจะเป็นด้วย