เพิ่มยอดขายปังด้วยสูตรพลังหาลูกค้าในตลาด SEO

เพิ่มยอดขายปังด้วยสูตรพลังหาลูกค้าในตลาด SEO

ในยุคสังคมการสื่อสารดิจิทัลที่ไม่ว่าธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ก็ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดออนไลน์ เนื่องจากเป็นช่องทางที่ใช้ในการเผยแพร่ข้อมูล ใช้ในการทำกลยุทธ์และทำการตลาดได้โดยใช้ต้นทุนที่ต่ำ และหากมีการวางกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้ได้ผลลัพธ์จากการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์อย่างคุ้มค่า

หนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้รับความนิยมและถูกหยิบนำมาใช้ในการทำการตลาดออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันคือการทำ Content Marketing ที่มีข้อดีในด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น

  1. ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
  2. สร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กรและธุรกิจ
  3. สร้างการรับรู้ในสินค้าและแบรนด์
  4. ช่วยเพิ่มลูกค้าใหม่และช่วยเพิ่มยอดขาย
  5. ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
  6. เพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์หรือแฟนเพจ

หากพูดถึง ก็จะมีอีกคำหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นรูปแบบของการเพิ่มยอดคนเข้าไปในเว็บไซต์หรือช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ขององค์กรหรือธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีข้อดีสำคัญที่ทุกองค์กรและธุรกิจมีการตั้งเป้าหมายในการทำ SEO ไว้ ก็คือการที่เว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียของตนเองขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดใด ๆ ในเว็บไซต์ Google

หลักการทั่วไปในการทำ SEO เช่น

  1. มีการใช้ Domain name ของเว็บไซต์ตนเอง
  2. ออกแบบเว็บไซต์ให้ User friendly มีการใช้งานง่าย
  3. มีการอัปเดตข้อมูลและเนื้อหาอยู่เสมอ
  4. มีเว็บไซต์หรือช่องทางภายนอกแปะลิงก์เว็บเราเป็น Reference link
  5. มีการวางแผนในการทำคีย์เวิร์ดในบทความที่ดี

พูดถึงข้อดีของการทำ SEO มามากมายแล้ว สำหรับข้อเสียของการทำ SEO ก็มีเช่นกัน โดยข้อเสียของการทำ SEO คือ เป็นรูปแบบที่ต้องใช้ความพยายาม ใช้เวลาทำนาน และทำได้ยาก บางเว็บใช้เวลาหลายเดือนหรืออาจจะเป็นปีเลยกว่าจะเห็นผล แต่ก็แลกมาด้วยผลลัพธ์ที่มีความยั่งยืน

สำหรับแฝดคนละฝาอีกเทคนิคหนึ่งที่มาคู่กับ SEO ก็คือ SEM หรือ Search Engine Marketing เป็นการทำการตลาดออนไลน์ โดยใช้วิธีการซื้อโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับแรก ๆ หากค้นหาในเว็บไซต์ Google ด้วยคีย์เวิร์ดใด ๆ โดยจะเสียเงินทุกครั้งเมื่อมีคนคลิกเข้ามาจากคีย์เวิร์ดที่เรากำหนดในการลงโฆษณาไว้ ความแตกต่างระหว่าง SEO กับ SEM ที่เห็นได้ชัดเลย คือ

SEO : สร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรและเว็บไซต์ ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการทำ แต่ใช้เวลานานและใช้ขั้นตอนในการทำที่มากกว่า

SEM : ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน เห็นผลได้เร็ว แต่เสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาที่ค่อนข้างสูงและไม่ยั่งยืน

การตลาดแบบ SEO และ SEM แตกต่างกันอย่างไร

การตลาดแบบ SEO และ SEM แตกต่างกันอย่างไร

การทำ SEO และ SEM เป็นเทคนิคการประชาสัมพันธ์ที่กูรูทางการตลาดแนะนำให้นักธุรกิจยุคใหม่ศึกษา เพื่อเลือกใช้ให้ถูกต้องตามสถานการณ์ และยังเป็นการพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์ให้มีความน่าเชื่อถือเป็นมืออาชีพ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาวด้วย ซึ่งการทำ SEO และ SEM มีข้อแตกต่างกันดังต่อไปนี้

SEO หรือ Search Engine Optimization

เป็นการพัฒนาเว็บไซต์อย่างรอบด้าน เพื่อให้มีอันดับในการแสดงผลในหน้าต่างการสืบค้นที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้แก่ Search Engine อย่าง Bing, Yahoo และ Google แต่อย่างใด โดยประกอบด้วย 2 ส่วนคือ On-Page SEO และ Off-Page SEO ได้แก่

On-Page SEO- การใช้ Keyword ที่เหมาะสม ในการเขียนหัวข้อ สร้างบทความที่มีคุณภาพ ตั้งชื่อรูปภาพ ฯลฯ ซึ่งยิ่งมี Keyword มากก็จะทำให้มีโอกาสถูกสืบค้นเจอได้มากขึ้น แต่ก็ไม่ควรมากเกินกว่า 2-3 Keyword ต่อบทความ และไม่ซ้ำเกิน Keyword ละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ถูกวิเคราะห์จากระบบ AI อัจฉริยะของ Search Engine ว่าเป็นเพจขยะหรือสแปม ซึ่งจะส่งผลให้ถูกลดทอนอันดับ SEO ลงไป

Off-Page SEO- สร้าง Backlink เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์หลาย ๆ แห่งเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ วิธีที่ได้ผลดีคือ การแสดงความคิดเห็นที่เป็นข้อเท็จจริงตรงไปตรงมา ตามห้องสนทนาในโซเชียลต่าง ๆ เมื่อมีผู้ที่สนใจสินค้าหรืออยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คุณจึงแปะลิงก์เพื่อให้คนบุคคลเหล่านั้นคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ วิธีการนี้เป็นเทคนิคขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นได้ และทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์ดีขึ้นด้วย

การทำ SEO ทั้งสองส่วนเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน และช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้

SEM หรือ Search Engine Marketing

จะเป็นการทำการตลาดแบบโฆษณา ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายให้กับ Search Engine อย่าง Bing, Yahoo และ Google ซึ่งจะมีการประมูลพื้นที่โฆษณาระหว่างคุณและบริษัทคู่แข่งที่เลือกใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน

ผู้ที่จ่ายเงินในการประมูลสูงก็จะได้ตำแหน่งที่ดีในการโฆษณาไป และต้องมีการจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแบบ Pay Per Click หรือ PPC คือ เมื่อมีผู้คลิกเข้าไปในชมข้อมูลในเว็บไซต์ของคุณตามที่โฆษณา จะต้องจ่ายเงินให้แก่ Search Engine ทุกครั้ง

วิธี SEM มีข้อดี คือ การันตีได้ว่าเว็บไซต์คุณจะปรากฏสู่สายตาของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับการทำโปรโมชั่นสินค้า เช่น ช่วงเทศกาลวันปีใหม่ หรือคริสต์มาส ที่จะมีคนมองหาสินค้าเพื่อเป็นของขวัญ หากใช้วิธีการ SEO อย่างเดียว จะต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนา ซึ่งจะไม่สามารถสร้างอันดับในผลการค้นหาที่สูงขึ้นให้ทันต่อเทศกาลในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO และ SEM มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทำร่วมกันได้ ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า การวางแผนและเป้าหมายของการทำเว็บไซต์ที่ต้องพิจารณาอย่างเหมาะสม

SEO หรือ Search Engine Optimization