เปลี่ยนวิธีคิด สร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ด้วยการทำ SEO

เปลี่ยนวิธีคิด สร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ด้วยการทำ SEO

ช่องทางการทำธุรกิจในทุกวันนี้ก้าวกระโดดไปกว่าอดีตที่ผ่านมา ทั้งเจ้าของแบรนด์และนักลงทุนต่างก็มีการปรับตัวเพื่อให้สามารถยังไปต่อและเติบโตมากขึ้นได้ การทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ ทำแบรนด์ให้ปังมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น การทำ SEO ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ ซึ่งจะมีวิธีและแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้างนั้นตามไปดูกัน

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization พูดง่าย ๆ ก็คือการปรับแต่งเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของทางแบรนด์ที่จะทำให้เว็บไซต์นั้นสามารถค้นพบได้ง่ายมากขึ้น โดยไปติดอันดับเว็บไซต์ที่อยู่ในหน้าแรก ๆ ของการค้นหานั่นเอง ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวแต่จริง ๆ ทุกเว็บไซต์สามารถทำได้เพียงแต่ต้องมีวิธีการและแนวทางที่ถูกต้อง

  • เนื้อหาภายในเว็บไซต์จะต้องมีคีย์เวิร์ดที่ตอบโจทย์ โดยควรจะเป็นคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณคำค้นหาต่อเดือนที่สูง โดยเลือกคีย์เวิร์ดตามกลุ่มเป้าหมายที่สนใจ ซึ่งในส่วนนี้ก็จะต้องมีความสอดคล้องกับสินค้าและบริการที่ทางแบรนด์ต้องการนำเสนอด้วย โดยสามารถที่จะวิเคราะห์และศึกษาถึง ความสนใจ ความชอบ ปัญหา ความวิตกกังวลและรูปแบบภาษาที่ทางกลุ่มเป้าหมายมักจะเลือกใช้ ก็จะทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลออกมาได้อย่างตรงจุดและมีความละเอียดขึ้น
  • ให้ความสำคัญในเรื่อง mobile friendly ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของเว็บไซต์ ก็ควรที่จะมีหน้าเว็บไซต์ที่มีการใช้งานง่ายสำหรับการเข้าสู่เว็บไซต์ผ่านโทรศัพท์มือถือ เนื่องด้วยในปัจจุบันมีการใช้งานโทรศัพท์มือถือเพิ่มมากขึ้น ทาง google ก็เห็นความสำคัญในส่วนนี้เช่นกัน ซึ่งจะมีการจัดอันดับและการจัดทำดัชนีสำหรับโทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่ด้วย เจ้าของเว็บไซต์ที่ตั้งใจสร้างเนื้อหาที่ดีและมีประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง ถ้ามีการเสริมตรงส่วนนี้เข้าไปก็จะทำให้มีโอกาสในการติดอันดับเว็บไซต์ต้น ๆ ในหน้าการค้นหามากยิ่งขึ้น 
  • อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามนั่นก็คือเมื่อกดคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์แล้ว ความเร็วและประสิทธิภาพการดาวน์โหลดตอบโจทย์ผู้เข้าชมหรือไม่ โดยความเร็วในการดาวน์โหลดเว็บไซต์ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการทำ SEO อย่างมากทีเดียว
  • และในส่วนของเนื้อหาที่นำไปลงในเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นบทความสั้นหรือบทความยาวควรที่จะเป็นเนื้อหาที่สดใหม่ ไม่ได้ไปลอกเลียนแบบมาจากเว็บไซต์อื่น ๆ ควรที่จะมีสไตล์เป็นของตนเอง แสดงออกได้ถึงการเป็นเจ้าของเนื้อหาอย่างแท้จริง

จากรายละเอียดเนื้อหาเกี่ยวกับ SEO ข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่ารูปแบบขั้นตอนและเทคนิควิธีการทำ SEO มีด้วยกันหลากหลายส่วน ถ้าจะเน้นที่จะโฟกัสที่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งก็คงไม่สามารถทำให้การทำ SEO ประสิทธิภาพอย่างที่ตั้งใจได้ ซึ่งถ้าทางเจ้าของเว็บไซต์มีความสนใจก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม

คอนเทนต์ SEO ต่างจากคอนเทนต์ทั่วไปยังไงบ้าง

คอนเทนต์ SEO ต่างจากคอนเทนต์ทั่วไปยังไงบ้าง

หลายคนที่กำลังทำ SEO อาจจะคิดว่าบทความที่ใช้ในการทำ SEO เป็นแค่บทความธรรมดา เขียนให้เข้าใจง่าย น่าอ่านและถูกต้องคงเพียงพอแล้ว แต่จริง ๆ การทำบทความสำหรับ SEO ไม่ได้เขียนเพื่อให้ผู้อ่านบนโลกออนไลน์ถูกใจเท่านั้น แต่ต้องเน้นไปที่หลักการที่ใช่สำหรับอัลกอริทึมของ Google ด้วย ดังนั้นบทความทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันอยู่แน่นอน ซึ่งบทความของ SEO มีเทคนิคในการเขียนให้ประสบความสำเร็จอยู่ดังนี้

  1. เลือกคีย์เวิร์ดอย่างชาญฉลาด

การเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับบทความใน SEO ไม่สามารถเลือกแบบสุ่มได้ แต่ต้องเลือกคำที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ที่มีปริมาณในการเสิร์จอยู่ในระดับดี สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังสามารถพิจารณาการลดคู่แข่ง ด้วยการใช้คีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงหรือระบุตำแหน่งได้ ซึ่งการเลือกคำที่ใช้ต้องมีการทำรีเสิร์จอย่างจริงจังจึงจะประสบความสำเร็จ

  1. ใส่ใจกับตำแหน่งในการใส่คีย์เวิร์ด

ตำแหน่งของการวางคีย์เวิร์ดในบทความต้องมีการกระจายตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ยัดเยียดหรือใส่ไปแบบไร้ความหมาย เพราะอาจจะถูกแบนจาก Google ได้เลยทีเดียว นอกจากนั้นยังต้องใส่ใจในการใส่คีย์เวิร์ดในส่วนต่าง ๆ ของเพจเช่น ในชื่อของบทความ หัวข้อเรื่อง URL และ Meta Description ของเพจ เพราะตำแหน่งทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อการพิจารณาลำดับของการปรากฏของเว็บไซต์บนผลการค้นหา

  1. ความยาวที่ใช่สำหรับ SEO

บทความที่ดีสำหรับ SEO ไม่ควรสั้นหรือยาวเกินไป เพราะสั้นเกินไป จะไม่สามารถสามารถครอบคลุมคีย์เวิร์ดได้ในความถี่ที่เหมาะสม และยิ่งเนื้อหายาวจะยิ่งมีข้อมูลมากพอที่ Google จะตรวจสอบว่าเนื้อหามีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดจริงหรือไม่ แต่ไม่ควรยาวเกินไปเพราะจะจับใจความได้ยากสำหรับผู้อ่านเช่นกัน ซึ่งความยาวที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 500-100 คำ 

  1. ใส่ข้อมูลรูปภาพให้ Google เข้าใจ

การนำภาพมาใส่ประกอบบทความสามารถใช้ดันอันดับ SEO ได้ดีเช่นกัน แต่การเลือกภาพไม่ใช่จะเลือกจากความสวยงามเท่านั้น เพราะ Google ไม่สามารถมองเห็นภาพได้เหมือนมนุษย์ ลักษณะภาพที่ดีคือมาจากแหล่งที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ และต้องมีการใส่คีย์เวิร์ดในชื่อกับ alt text ของรูปภาพด้วย เพื่อบอกให้ซอฟต์แวร์รู้ว่าภาพที่นำมาประกอบคืออะไรและเกี่ยวข้องกับบทความอย่างไรบ้าง

  1. หมั่นอัปเดตคอนเทนต์เสมอ

บทความทั่วไปหลังจากเผยแพร่ไปแล้วอาจจะไม่จำเป็นต้องกลับมาแก้ไขหรือปรับปรุงบ่อยเท่าบทความ SEO เพราะ SEO มีการพิจารณาเรื่องปริมาณการเข้าถึงบทความและความสดใหม่ของเนื้อหาด้วย ดังนั้นต้องมีการปรับปรุงให้ตอบโจทย์ของ SEO อย่างสม่ำเสมอ

เมื่อรู้ดังนี้แล้วนักเขียนที่เคยเขียนบทความทั่วไปที่ต้องการเริ่มทำงานในตลาดของ SEO หรือผู้ที่สนใจเรื่องวิธีการเขียนบทความ SEO ให้ตอบโจทย์ที่ Google ถูกใจ สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ได้เลย เมื่อเข้าใจวิธีการสร้างคอนเทนต์ได้อย่างเหมาะสม จะมีโอกาสดันอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน

คำศัพท์ที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO

คำศัพท์ที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO

การทำ SEO เป็นแนวทางการทำธุรกิจออนไลน์ยุคใหม่ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอำนาจในการแข่งขันดีขึ้น เมื่อเทียบกับเว็บไซต์อื่นที่มองข้ามประเด็นนี้ไป

แต่ทั้งนี้ ก็ต้องมีการเข้าใจความหมายของคำศัพท์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำ SEO ด้วย ซึ่งบทความนี้จะเป็นพื้นฐานที่ดีในการทำให้ทุกท่านนำไปต่อยอดการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

SEO คืออะไร

SEO ย่อมาจากคำว่า Search Engine optimization เป็นกระบวนการของ Google ที่ทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพสูง และถูกนำเสนอในอันดับบนของหน้าต่างการสืบค้น เช่นเดียวกันกับเวลาที่เราค้นหาข้อมูลในระบบของ Google ที่เรามักจะคลิกเข้าไปดูข้อมูลในเว็บไซต์ที่ปรากฏอันดับ 1 2 3 มากกว่าอันดับล่างหรือหน้าหลัง ๆ

การทำ SEO จะทำให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับต้น ๆ ของหน้าต่างการสืบค้นได้ ซึ่งจะทำให้คุณขายสินค้าและบริการได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง

Keyword คืออะไร

Keyword คือ คำสำคัญที่ผู้เป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายพิมพ์ในช่อง Search ของ Google เพื่อหาว่ามีเว็บไซต์ใดบ้างที่มีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น หากคุณใช้คีย์เวิร์ดที่ดีเหมาะสมในการผลิตบทความ รูปภาพ คลิปวีดีโอ จะเป็นการป้อนข้อมูลลงไปในระบบอย่างอัตโนมัติ จึงเพิ่มโอกาสทำให้ถูกนำเสนอเว็บไซต์ของคุณขึ้นมาก่อนเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่ตรงกับใจลูกค้าผู้บริโภคนั่นเอง

ดังนั้นการศึกษา keyword ด้วยข้อมูลทางสถิติใน Google หรือเทคนิคต่าง ๆ ก็เป็นตัวช่วยที่ดีในการทำให้คุณนำไปทำ SEO ได้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น

SERPs คืออะไร

SERPs หมายถึง search engine result pages เป็นผลลัพธ์ของการสืบค้นหรือหมายถึงหน้าต่างหลังจากหาข้อมูลของคีย์เวิร์ดหนึ่ง ๆ หากเว็บไซต์ของคุณอยู่ในหน้าอันดับ SEPRs ต้น ๆ ก็เป็นแนวโน้มที่ดีที่แสดงว่าการทำ SEO ของคุณนั้นมาถูกทางแล้ว ทำให้การนำเสนอของคุณนั้นเพิ่มยอดขายและสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์สินค้าได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

URL Address คืออะไร

URL Address ของเว็บไซต์ในแต่ละหน้าเพจเป็นสิ่งที่จำเป็นในการแสดงถึงความมีอยู่ของข้อมูล คุณจำเป็นต้องใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมสำหรับการตั้งชื่อ URL โดยใช้ภาษาอังกฤษแทนตัวอักษรภาษาไทยที่อาจมีการสะกดพลาดได้ง่าย และไม่ใช้การเว้นวรรค แต่ใช้การขีดกลางแทน เพื่อไม่ให้มีปัญหาในการเชื่อมโยงระหว่างหน้าเพจ

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเว็บไซด์ที่เปิดมานานแล้ว ก็ควรทำการแก้ไข URL address ของหน้าเพจเก่า ๆ ที่มีปัญหาด้วย เพื่อทำให้การเชื่อมโยงลิงก์นั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะหากมีหน้าเว็บเพจที่เปิดไม่ได้ ก็จะมีผลทำให้อันดับ SEO ตกลงไปด้วยเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าคำศัพท์ที่เรายกมาทั้ง 4 คำนี้ เป็นสิ่งที่คุณควรรู้ตั้งแต่เบื้องต้นก่อนทำ SEO เพื่อที่จะทำให้ต่อยอดในการปฏิบัติได้ดียิ่งขึ้นต่อไป

SEO คืออะไร

เคล็ดลับ! เจาะกลุ่มเป้าหมาย Mobile Site ด้วย SEO

เจาะกลุ่มเป้าหมาย Mobile Site ด้วย SEO

Smart Phone เป็นอุปกรณ์สื่อสารที่สามารถอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตในหลายแง่มุมและยังเป็นอุปกรณ์ที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุด ทำให้การตลาดยุคใหม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการปรับตัวเพื่อเข้าสู่กลุ่มเป้าหมายที่ใช้สมาร์ทโฟนเป็นหลัก

การเข้าสู่เว็บไซต์ผ่านสมาร์ทโฟนมีความแตกต่างจากการเข้าสู่คอมพิวเตอร์หรือ Laptop เนื่องจากหน้าจอที่มีขนาดเล็กกว่าของสมาร์ทโฟน ทำให้การประมวลผลเว็บไซต์สู่สมาร์ทโฟนจึงต้องมีการปรับสัดส่วนใหม่ ทำให้การทำเว็บไซต์ที่ไม่รองรับการเปิดในสมาร์ทโฟนจะทำให้การแสดงผลเว็บไซต์ไม่สมบูรณ์ นอกจากการทำเว็บไซต์ให้รองรับการเปิดในสมาร์ทโฟนแล้ว การทำ SEO บน Mobile Site เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นหลัก

เคล็ดลับทำ SEO บน Mobile Site มีดังนี้

ทำเว็บไซต์ให้โหลดไวที่สุด เนื่องจากพฤติกรรมในการใช้งาน Mobile Site ส่วนใหญ่เป็นการเปิดใช้งานเพื่อฆ่าเวลา โดยคนส่วนใหญ่มักจะกดอ่านข้อมูลที่น่าสนใจผ่านลิงก์ที่แนบไว้บน Social Media ทำให้การโหลดหน้าเว็บไซต์ให้ไวจึงทำให้กลุ่มเป้าหมายที่คลิกเข้ามาอ่านข้อมูลจะได้รับข่าวสารที่เราต้องการสื่อสารได้ดีกว่า เพราะการใช้เวลานานในการโหลดเว็บไซต์อาจทำให้กลุ่มเป้าหมายหมดความสนใจ วิธีง่าย ๆ ที่ทำให้ Mobile Site โหลดไว คือ ไม่ควรนำสื่อจากภายนอกมาแนบลงในหน้าเว็บนั้น เนื่องจาก Smartphone จะต้องใช้เวลานานมากในการดึงข้อมูลจากภายนอกเข้าสู่เว็บไซต์และต้องประมวลผลให้เหมาะกับการแสดงบนสมาร์ทโฟน

ลดการทำโฆษณา Pop–Ups แม้ว่าหลายคนทำเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อสร้างรายได้จากโฆษณา แต่หากกลุ่มเป้าหมายโดยส่วนใหญ่ของเว็บไซต์ใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน การนำลิงก์โฆษณาแบบ Pop-Ups ที่มากเกินไปอาจทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความเบื่อหน่ายได้ ดังนั้นการปรับวิธีการแสดงโฆษณาให้เหมาะกับการใช้งาน Mobile Site จึงเป็นสิ่งสำคัญ

เลือกใช้ Short Keyword ในการทำ Mobile Site เนื่องจากผู้ใช้งานที่ต้องการหาข้อมูลด่วนบน Smart phone อาจมีเวลาไม่มากพอที่จะอ่านข้อมูลทั้งหมดบนเว็บไซต์ได้ การเลือก Keyword ที่กระชับแต่มีจำนวนผู้ค้นหาเยอะมาประยุกต์ใช้กับ Mobile Site จะทำให้กลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจได้มากกว่า

ทำสารบัญไปยังหัวข้อที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ หลายคนมีความสามารถในการทำข้อมูลได้มาก แต่ข้อมูลที่เยอะเกินไปอาจทำให้กลุ่มเป้าหมายหมดความสนใจเพราะไม่ใช่หัวข้อที่ต้องการ การทำสารบัญหัวข้อพร้อมแทรกลิงก์เอาไว้จะทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเลือกหัวข้อที่สนใจได้ด้วยตัวเอง

ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจทั้งหลายที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เพิ่มมากขึ้น จึงควรปรับเว็บไซต์ให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภค และปรับเว็บไซต์ให้สามารถใช้งานบนมือถือได้ โดย Mobile Site เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการทำการตลาดที่สามารถสร้างยอดขายของสินค้าและบริการให้เพิ่มมากขึ้นได้

เคล็ดลับทำ SEO บน Mobile Site

สิ่งควรทำ SEO ปรับแต่งเว็บให้ขึ้นอันดับหนึ่ง

สิ่งควรทำ SEO ปรับแต่งเว็บให้ขึ้นอันดับหนึ่ง

การทำ SEO เป็นเทคนิคการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ในหน้าผลการค้นหาของกูเกิล โดยยึดหลักการง่าย ๆ คือคำนึงถึงประโยชน์ของการใช้งานเว็บไซต์อย่างเต็มที่ ประสบการณ์ดี ๆ และสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ไปพร้อมกัน เมื่อเว็บนั้นใช้ง่ายและให้ข้อมูลมากมายที่เป็นประโยชน์ จึงดึงดูดความสนใจอย่างรวดเร็ว มีคนเข้าใช้งานจำนวนมาก และคลิกเข้ามาดูเว็บไซต์มากขึ้นเรื่อย ๆ มาดูกันว่า 3 สิ่งควรทำที่จะช่วยให้ปรับแต่งเว็บไซต์ขึ้นสู่อันดับที่ดีขึ้น ดังต่อไปนี้

3 สิ่งที่ควรทำในเว็บไซต์ SEO

ใช้งานง่ายเป็นมิตรกับกูเกิล

เมื่อเร็ว ๆ นี้โปรแกรมการสืบค้นข้อมูลของกูเกิลปรับเปลี่ยนระบบอัลกอริธึมใหม่ทำให้มีความชัดเจนและเคร่งครัดยิ่งขึ้น การทำ SEO จึงไม่เน้นใช้คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ กันบ่อย แต่เป็นการออกแบบเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย มีโครงสร้างแผนผังชัดเจน ค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้ผู้ใช้งานอยู่ในเว็บไซต์นานขึ้น และมีการสร้างลิงก์ย้อนกลับมากขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดจากการปรับแต่งเว็บไซต์ที่ดีตามที่กูเกิลได้กำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้นั่นเอง

เว็บโหลดเร็วเป็นต่อ

โดยปกติแล้วเว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะสร้างความประทับใจและมีโอกาสดึงดูดผู้ใช้งานเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์บ่อยและสืบค้นเป็นเวลานานกว่าเดิม สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีซึ่งอาจนำไปสู่การจัดอันดับในหน้าแรก ๆ ของกูเกิล การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีควรโหลดอย่างรวดเร็ว ทำให้ค้นหาข้อมูลง่ายขึ้น และใช้เวลาน้อยลงในหน้าเว็บ เคล็ดลับการเพิ่มความเร็วในหน้าเว็บคือการเลือกรูปแบบที่เหมาะสม รวมทั้งบีบอัดรูปภาพให้มีพื้นที่เล็กลง การออกแบบหน้าเว็บไม่รกรุงรัง ยิ่งหน้าจอสะอาดเท่าไรก็ยิ่งโหลดหน้าเว็บเร็วขึ้นเท่านั้น หากเว็บไซต์ใช้เวลาโหลดนานเกินไป เมื่อเว็บไซต์ใช้งานยากและไม่ตอบสนอง โดยเฉพาะกับโทรศัพท์มือถือ ทำให้ผู้ใช้เบื่อหน่ายและกดออกจากเว็บง่ายขึ้น

เนื้อหาที่ดีมีประโยชน์ต่ออันดับ SEO

การโพสต์บทความในเว็บไซต์ควรเขียนหรือจัดหาบทความอย่างพิถีพิถัน เนื้อหาชัดเจน ตรงประเด็น และกระชับน่าอ่าน เว็บกูเกิลมักจะจัดอันดับเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างเนื้อหาที่ชัดเจนและเป็นธรรมชาติ สืบค้นข้อมูลง่าย มีความเชื่อมโยงของหน้าเว็บ การวางคีย์เวิร์ดหลักในตำแหน่งที่เหมาะสมและจำนวนไม่มากเกินไป การเขียนบทความต้องใส่คีย์เวิร์ดให้เหมาะกับคำค้นหาของผู้ใช้งานทั่วไป โดยดูตัวอย่างจากเว็บกูเกิลได้ว่ามีการค้นหาด้วยคำไหนบ่อยกว่ากัน โดยสืบค้นจากบันทึกของ Search Engine Journal ซึ่งเก็บข้อมูลการค้นหาล่าสุดและคำแนะนำที่ดีที่สุดจากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดทั่วโลกสำหรับการทำ SEO ให้เว็บติดอันดับต้น ๆ ของกูเกิล

การสร้างเว็บไซต์จึงต้องเริ่มต้นด้วยเนื้อหาและการออกแบบที่มีคุณภาพก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นจึงทำ SEO โดยใช้เทคนิคที่ได้ผลจริงและไม่ผิดกฎของกูเกิล การสร้างหน้าเว็บที่สวยงามเป็นหนึ่งในเทคนิคการออกแบบเว็บไซต์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแยกกันไม่ออก หากทำได้ทั้งหมด รับประกันว่าจะเห็นผลลัพธ์การจัดอันดับที่ดีขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน

3 สิ่งที่ควรทำในเว็บไซต์ SEO

การทำ SEO ให้เว็บไซต์ ได้อะไรดีกว่าที่คิด

ประโยชน์ที่จะได้รับหลังการทำ SEO

การทำเว็บไซต์ SEO เป็นหลักการที่คนทำธุรกิจออนไลน์ให้ความสนใจมากขึ้น เพราะเป็นวิธีที่เพิ่มโอกาสในการแข่งขันกับแบรนด์สินค้าคู่แข่งอื่น ๆ ได้ การทำ SEO ของแต่ละเว็บไซต์ จึงเป็นตัวช่วยให้เจ้าของกิจการออนไลน์ขนาดเล็กหรือนักธุรกิจที่เพิ่งเข้ามาในวงการออนไลน์ใหม่ ๆ มียอดขายสินค้ามากขึ้น เพิ่มอำนาจการแข่งขันใกล้เคียงกับเจ้าเดิมที่ติดตลาดมานานได้

SEO หรือ search engine optimization เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ทั้งด้านโครงสร้างที่สะดวกต่อการใช้งานของลูกค้า การผลิตเนื้อหา ภาพและสื่อมัลติมีเดียที่ให้สาระชัดเจน การสร้างลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ภายนอก ฯลฯ ซึ่งระบบอัลกอริทึ่มของ Google จะมาเก็บข้อมูลที่ผู้ทำเว็บไซต์มีการปรับปรุงเป็นระยะ ๆ เพื่อประมวลเปรียบเทียบกับเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ใช้คำค้นหา หรือ keyword เดียวกัน

ประโยชน์ที่จะได้รับหลังการทำ SEO มีอยู่หลายด้าน ดังนี้

1. ช่วยสร้างแบรนด์

มีสถิติว่าเว็บไซต์ที่ถูกนำเสนอใน 5 อันดับต้นของ Google หน้าแรก มักจะเป็นที่คุ้นตาของลูกค้า มีการถูกคลิกเข้ามาชมข้อมูลและนำมาสู่การสั่งซื้อสินค้าได้เป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับอันดับรอง ๆ ลงไป และยิ่งมียอดการคลิกเข้ามาชมมาก หรือ ค่า total clicks สูง ก็เป็นการเพิ่มค่า traffic ที่ดีแก่เว็บไซต์ ทำให้ อันดับ SEO ยิ่งดีขึ้นไปเรื่อย ๆ

2. ลดค่าใช้จ่ายด้านโฆษณา

การทำ SEO ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้แก่ Google อย่างการโฆษณาด้วย SEM หรือ search engine marketing หากเจ้าของเว็บไซต์เรียนรู้การทำ SEOและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักในวงกว้างได้ด้วยตัวเอง เป็นการประหยัดค่าเช่าพื้นที่ประชาสัมพันธ์ ช่วยลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นได้

3. ขยายตลาดต่างประเทศ

ในอดีตการสร้างแบรนด์ให้รู้จักในต่างประเทศเป็นสิ่งที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง และใช้เวลานานกว่าจะเข้าถึงตัวลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เช่น ต้องจัดอีเว้นท์ที่น่าสนใจในต่างประเทศ แต่ปัจจุบันการทำเว็บไซต์เป็นหลาย ๆ ภาษา และพัฒนาตามระบบ SEO จะทำให้ชาวต่างชาติมีโอกาสค้นพบแบรนด์ของคุณได้ง่ายขึ้นมากผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีเครือข่ายทั่วโลก

4. เพิ่มยอดขายได้ 24 ชั่วโมง

หากคุณเปิดร้านแบบ offline มักขายของได้ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้มีรายได้จำกัด แต่การทำเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพอยู่ในหน้าแรก ๆ ของการสืบค้นทาง Google จะมียอดขายสินค้าสูงตลอด 24 ชั่วโมง โดยเป็นออเดอร์ที่ไม่จำกัดจากทั่วโลกเลยทีเดียว

จะเห็นได้ว่า การทำ SEO ให้ประโยชน์แก่ธุรกิจของคุณได้หลายด้านพร้อม ๆ กัน และยังทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำคู่กับมีรายได้สูงต่อเนื่องด้วย เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านให้ความสำคัญกับการทำ SEO ให้เว็บไซต์มากขึ้น เพื่อให้ร้านค้าออนไลน์ประสบผลสำเร็จมากขึ้นต่อไป

การทำSEO ให้เว็บไซต์ ได้อะไรดีกว่าที่คิด

Yoast SEO ช่วยให้อันดับ SEO ดีขึ้นได้อย่างไร

Yoast SEO ช่วยให้อันดับ SEO ดีขึ้นได้อย่างไร

Yoast SEO เป็น plugin ที่ใช้กับโปรแกรม WordPress ที่หลายคนรู้จักกันดีสำหรับผู้ทำร้านค้าออนไลน์ แต่สำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาในวงการขายของออนไลน์มือใหม่อาจจะยังไม่คุ้นเคย เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้ Yoast SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นหาได้ง่ายยิ่งขึ้นจาก Google ดังนี้

Yoast SEO เป็น plugin ที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี เพื่อใช้งานกับโปรแกรม WordPress ช่วยในการปรับส่วน on-Page SEO อันได้แก่ โครงสร้างของเว็บไซต์ การผลิตบทความ การเลือก keywords ที่มีคุณภาพ รวมถึงการเชื่อมโยง Internal Link ได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย และสามารถที่จะเห็นผลการวิเคราะห์ได้ในทันที โดยปรากฏเป็นแถบสีเขียว ส้ม แดง พร้อมกับเหตุผลภาษาอังกฤษประกอบด้วย จึงเห็นจุดอ่อนของการทำ SEO ในแต่ละส่วน ให้ผู้ออกแบบเว็บไซต์สามารถแก้ไขก่อนที่จะนำไปอัปโหลดขึ้นบนเว็บไซต์ เพื่อให้ระบบ algorithm ของ Google มาเก็บข้อมูลต่อไป

ข้อดีของการเลือกใช้ Yoast SEO

ข้อดีสำคัญที่คนนิยมใช้ Yoast SEO เนื่องจากสามารถช่วยในการเลือก keyword SEO ที่มีคุณภาพ ในอดีต keyword SEO มักจะใช้คำที่สั้นและมีความหมายกว้างเพื่อหวังให้เข้าถึงผู้คนทั่วไป เช่น คำว่า ร้านขายดอกไม้ รองเท้ากีฬา เสื้อผ้าผู้หญิง เป็นต้น แต่ในปัจจุบัน การใช้คีย์เวิร์ดเหล่านี้ไม่ได้ผลแล้ว ต้องเป็นคำสำคัญที่มีความยาวและเฉพาะเจาะจงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่เรียกว่า niche long-tailed keywords มากขึ้น เช่น คำว่า ร้านขายดอกไม้รับปริญญาออนไลน์ราคาถูกเชียงใหม่ หรือ เสื้อแฟชั่นผู้หญิงสไตล์เกาหลีใส่ฤดูหนาว หรือ รองเท้ากีฬา Nike ผู้หญิงสีชมพู เป็นต้น

นอกจากเรื่องการปรับแต่งคีย์เวิร์ดแล้ว ยังรวมไปถึงส่วนอื่น ๆ เช่นการตั้งชื่อบทความ (Title) การคิดบทบรรยายย่อ (Meta Description) ซึ่งโดยหลักการแล้วจะใส่ได้ความยาวไม่เกิน 160 คำ และเปรียบเป็นดั่งปกของหนังสือ ที่ผู้ใช้งาน Google จะเห็น เมื่อมีการคีย์ลงในช่อง search keyword แล้วจะปรากฏเว็บไซต์ต่าง ๆ ขึ้นมาในผลการค้นหา

การทำ Meta Description ที่มีคุณภาพสูง จะทำให้ทุกคนเห็นได้ว่าหากคลิกเข้ามาในเว็บไซต์แล้ว จะได้รับข้อมูลในประเด็นใดบ้าง Yoast SEO จะช่วยในการวิเคราะห์ตรงส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี ว่าคุณควรปรับแก้อย่างไรจึงจะทำให้ตรงใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ส่วนของ Internal Link ก็มีความสำคัญเช่นกัน เมื่อผู้อ่านเห็นช่วงใดของบทความที่น่าสนใจและอยากหารายละเอียดเพิ่มเติม ก็สามารถนำลูกศรคลิกที่ลิงก์ของคำเหล่านั้นได้เลย ซึ่งในการทำ Internal อย่างนี้เพียงกดรูปลูกโซ่ที่ฟังก์ชั่นนี้ใน Yoast SEO เพื่อเชื่อมต่อไปยังเพจที่คุณเตรียมบทความไว้ ก็จะสามารถสร้างการเชื่อมโยงได้ง่าย ๆ และลดโอกาสที่จะเกิด error ได้ด้วย

การศึกษาเรื่อง Yoast SEO มีความสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพ สามารถช่วยในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำและเข้าถึงลูกค้าในวงกว้าง หากทำถูกต้องและได้รับการจัดอันดับที่ดีในผลการค้นหาของ Google ก็จะทำให้ยอดขายสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ข้อดีของการเลือกใช้ Yoast SEO

การตลาดแบบ SEO และ SEM แตกต่างกันอย่างไร

การตลาดแบบ SEO และ SEM แตกต่างกันอย่างไร

การทำ SEO และ SEM เป็นเทคนิคการประชาสัมพันธ์ที่กูรูทางการตลาดแนะนำให้นักธุรกิจยุคใหม่ศึกษา เพื่อเลือกใช้ให้ถูกต้องตามสถานการณ์ และยังเป็นการพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์ให้มีความน่าเชื่อถือเป็นมืออาชีพ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาวด้วย ซึ่งการทำ SEO และ SEM มีข้อแตกต่างกันดังต่อไปนี้

SEO หรือ Search Engine Optimization

เป็นการพัฒนาเว็บไซต์อย่างรอบด้าน เพื่อให้มีอันดับในการแสดงผลในหน้าต่างการสืบค้นที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้แก่ Search Engine อย่าง Bing, Yahoo และ Google แต่อย่างใด โดยประกอบด้วย 2 ส่วนคือ On-Page SEO และ Off-Page SEO ได้แก่

On-Page SEO- การใช้ Keyword ที่เหมาะสม ในการเขียนหัวข้อ สร้างบทความที่มีคุณภาพ ตั้งชื่อรูปภาพ ฯลฯ ซึ่งยิ่งมี Keyword มากก็จะทำให้มีโอกาสถูกสืบค้นเจอได้มากขึ้น แต่ก็ไม่ควรมากเกินกว่า 2-3 Keyword ต่อบทความ และไม่ซ้ำเกิน Keyword ละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ถูกวิเคราะห์จากระบบ AI อัจฉริยะของ Search Engine ว่าเป็นเพจขยะหรือสแปม ซึ่งจะส่งผลให้ถูกลดทอนอันดับ SEO ลงไป

Off-Page SEO- สร้าง Backlink เพื่อเชื่อมโยงเว็บไซต์หลาย ๆ แห่งเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ วิธีที่ได้ผลดีคือ การแสดงความคิดเห็นที่เป็นข้อเท็จจริงตรงไปตรงมา ตามห้องสนทนาในโซเชียลต่าง ๆ เมื่อมีผู้ที่สนใจสินค้าหรืออยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คุณจึงแปะลิงก์เพื่อให้คนบุคคลเหล่านั้นคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ วิธีการนี้เป็นเทคนิคขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นได้ และทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์ดีขึ้นด้วย

การทำ SEO ทั้งสองส่วนเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน และช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้

SEM หรือ Search Engine Marketing

จะเป็นการทำการตลาดแบบโฆษณา ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายให้กับ Search Engine อย่าง Bing, Yahoo และ Google ซึ่งจะมีการประมูลพื้นที่โฆษณาระหว่างคุณและบริษัทคู่แข่งที่เลือกใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน

ผู้ที่จ่ายเงินในการประมูลสูงก็จะได้ตำแหน่งที่ดีในการโฆษณาไป และต้องมีการจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแบบ Pay Per Click หรือ PPC คือ เมื่อมีผู้คลิกเข้าไปในชมข้อมูลในเว็บไซต์ของคุณตามที่โฆษณา จะต้องจ่ายเงินให้แก่ Search Engine ทุกครั้ง

วิธี SEM มีข้อดี คือ การันตีได้ว่าเว็บไซต์คุณจะปรากฏสู่สายตาของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับการทำโปรโมชั่นสินค้า เช่น ช่วงเทศกาลวันปีใหม่ หรือคริสต์มาส ที่จะมีคนมองหาสินค้าเพื่อเป็นของขวัญ หากใช้วิธีการ SEO อย่างเดียว จะต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนา ซึ่งจะไม่สามารถสร้างอันดับในผลการค้นหาที่สูงขึ้นให้ทันต่อเทศกาลในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO และ SEM มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทำร่วมกันได้ ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า การวางแผนและเป้าหมายของการทำเว็บไซต์ที่ต้องพิจารณาอย่างเหมาะสม

SEO หรือ Search Engine Optimization

การโพสต์บล็อกแบบไหนมีประโยชน์กับการทำ SEO

การโพสต์บล็อกแบบไหนมีประโยชน์กับการทำ SEO

การเขียนบล็อกกับเว็บไซต์มีความแตกต่างกัน แม้ว่าจะเป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลเหมือนกัน แต่เว็บไซต์มักจะเป็นการนำเสนอข้อมูลอยู่ฝ่ายเดียว เหมาะสำหรับการขายของออนไลน์และสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ ส่วนบล็อกเป็นเว็บไซต์รูปแบบหนึ่ง แต่เปิดให้ผู้อ่านเข้ามาแสดงความคิดเห็นท้ายบทความและโต้ตอบกันได้ ว่าไปแล้วก็มีส่วนคล้ายการโพสต์บทความผ่านโซเชียลมีเดีย การเขียนบล็อกจะคล้ายกับการเล่าเรื่องในมุมมองของตัวเอง ใช้งานง่าย และมีความเป็นทางการน้อยกว่า

การเขียนบทความในบล็อก

การโพสต์บล็อกแบบไหนที่มีประโยชน์กับการทำ SEO ก่อนอื่นต้องเรียนรู้เรื่องการเขียนบทความในบล็อกซึ่งต้องใช้ทักษะเพื่อให้ผู้อ่านสนใจและติดตาม โครงสร้างและการเขียนบทความต้องน่าสนใจ มีหัวเรื่องย่อยเพื่อให้อ่านง่าย หากคนอ่านชอบบทความและเข้าใจเนื้อหาก็จะรู้ว่าสินค้าและบริการนั้นมีจุดเด่นตรงไหน ถ้าชอบใจก็มีแนวโน้มที่จะแบ่งปันผ่านทางโซเชียลมีเดียทำให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การพัฒนาทักษะการเขียนบล็อกเพื่อดึงดูดผู้ชม พร้อมกับการทำ SEO เพื่อให้คำที่ต้องการค้นหาเป็นคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูงทำให้ผลลัพธ์การทำ SEO ดีขึ้นและจัดอันดับอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นมากอย่างแน่นอน

ในเรื่องของคีย์เวิร์ดก็ต้องระมัดระวังเช่นเดียวกัน แนะนำว่าอย่าใส่คีย์เวิร์ดมากเกินไปทำให้อ่านข้อความไม่รู้เรื่องหรือไม่ราบรื่น อย่าทำแค่จับคำไปใส่ในบทความ ควรเริ่มจากเนื้อหาที่ดีมีประโยชน์ เลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา บางคนมีความสามารถในการเขียนอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นนักเขียนมืออาชีพที่จะตั้งประเด็นไว้ก่อน มีคำถามว่าลูกค้าสนใจสินค้าและบริการแบบไหน คำตอบนั้นคือจุดโฟกัสเพื่อให้นำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ตรงความต้องการของลูกค้านั่นเอง

เมื่อรู้ความต้องการของลูกค้าแล้ว พยายามหาช่องทางนำเสนอที่แตกต่างและดีกว่าคู่แข่ง กำหนดโครงสร้างของบทความ มีความยาวเท่าไร ย่อหน้าตรงไหน ปรับความยาวของบทความให้เหมาะสม ต้องมีอย่างน้อย 300 คำ พิจารณาการจัดอันดับของกูเกิลจะให้คะแนนกับบทความยาว ๆ แต่ถ้าบทความนั้นยาวเกินไปจะทำให้ผู้อ่านเบื่อก่อนที่จะอ่านจบ อยากรู้ว่าบทความควรยาวขนาดไหน ให้ลองเขียนบทความยาว ๆ แล้วตรวจสอบให้แน่ใจว่าความยาวและเนื้อหาแบบไหนที่มีคนสนใจเข้าอ่านมากที่สุด ก่อนโพสต์บล็อกให้คนอื่นอ่าน ต้องแก้ไขข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์และข้อผิดพลาดอื่น ๆ

หลังจากโพสต์เนื้อหาเสร็จแล้ว ถ้าเขียนเนื้อหาหัวข้อเดียวกับโพสต์ก่อนหน้านั้น อย่าลืมสร้างการเชื่อมโยงแต่ละโพสต์เข้าด้วยกัน เพราะการสร้างลิงก์ภายในหรือ Internal link จะเป็นการเพิ่มคุณภาพให้เนื้อหาบทความสำหรับการทำ SEO ผู้อ่านจะมองว่าคอนเทนต์ของเรามีคุณภาพและใช้งานง่าย สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้งานพอใจ ขณะเดียวกันระบบการจัดอันดับของกูเกิลจะมองเห็นว่าบล็อกนี้มีความความเชี่ยวชาญและเชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันไปยังหน้าที่มีความสำคัญจะช่วยให้บล็อกหรือแม้แต่เว็บไซต์ก็มีอันดับที่ดีขึ้นได้เช่นกัน

การเขียนบทความในบล็อก

SEO คืออะไร สำหรับคนที่ยังไม่เคยรู้มาก่อน

SEO คืออะไร สำหรับคนที่ยังไม่เคยรู้มาก่อน

หากใครคิดจะเริ่มทำการตลาดออนไลน์จะต้องรู้จักคำว่า SEO รู้ว่าพื้นฐานของ SEO คืออะไร ผู้ทำการตลาดจะสามารถนำความรู้นั้นไปปรับใช้กับช่องทางออนไลน์ได้ทุกช่องทาง ทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก มีความน่าเชื่อถือและยังเป็นการขยายตลาดให้มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ก็สร้างยอดขายได้มากขึ้นนั่นเอง แต่การทำ SEO จะเริ่มทำอย่างไร มีขั้นตอนอะไรบ้าง ในบทความนี้จะขอแนะนำขั้นตอนพื้นฐาน สำหรับคนที่ยังไม่เคยรู้มาก่อนว่า SEO เขาทำกันอย่างไร

SEO คืออะไร

SEO คือการใช้ประโยชน์จาก Search Engine ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยอาศัย Keyword เป็นตัวกำหนดแนวทางและกระจายในบทความหรือสิ่งที่เราต้องการจะนำเสนอ เพื่อให้การค้นหาเจอได้โดยง่าย เราอาจจะเพิ่มแบ็กลิงก์เอาไว้เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและยังเป็นเป็นการประกอบข้อมูลให้เห็นภาพ ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในสินค้าหรือบริการของเรา ทำให้ง่ายต่อการปิดการขายนั่นเอง

SEO ทำอย่างไร

Content เพราะสิ่งที่เราเข้าใจ กับสิ่งที่ลูกค้าเข้าใจจะเป็นคนละเรื่องกัน ทำอย่างไรให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจในสินค้าหรือบริการของเราได้โดยง่าย และที่สำคัญคือ Content นั้นต้องน่าสนใจและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าได้ จึงจะเป็น Content คุณภาพ

Keyword หัวใจหลักของการทำ SEO เลยคือต้องใช้ Keyword ที่ดี เพราะถึงแม้ Content จะดีมาก แต่ค้นหายาก หาไม่เจอ ก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นการใส่ Keyword ที่ได้รับการจัดอันดับแล้วว่ามีการค้นหามากที่สุด ก็ย่อมจะหาง่ายกว่าอย่างแน่นอน

จำนวนคำ อะไรที่มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี การกำหนดโครงสร้างของ Content จะต้องให้เหมาะสมกับเนื้อหาและกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการจะนำเสนอ หากต้องการนำเสนอให้เด็ก ๆ ก็ควรมีเนื้อหาที่แสดงออกถึงอารมณ์และสั้น ๆ เด็กจะสนใจ ประมาณ 300 คำกำลังดี หรือถ้าต้องการจะนำเสนอเนื้อหาให้ผู้ใหญ่ ก็ต้องมีเนื้อหาที่ค่อนข้างครบถ้วน เน้นถึงหลักเหตุผล ตอบโจทย์ว่าถ้าเขาซื้อสินค้าหรือบริการของเราดีอย่างไร ? 1,000 คำโดยประมาณ ไม่ควรมากกว่านี้เพราะจะทำให้เบื่อเสียก่อน

การทำ SEO จะเริ่มทำอย่างไร มีขั้นตอนอะไรบ้าง

Back Link เป็นสิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้าม แต่มีความสำคัญมากเพราะการทำ Back Link จากเว็บไซต์ที่ดัง ๆ จะส่งผลให้ Content ของเราน่าเชื่อถือตามไปด้วย แต่การจะไปติด Back Link ในเว็บไซต์ดัง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน หากเว็บไซต์ของเราไม่มีความน่าเชื่อถือที่มากพอ

จากข้อมูลข้างต้นน่าจะพอทำให้เข้าใจการทำ SEO มากขึ้นได้บ้าง ซึ่งวิธีการทำจริง ๆ แล้วไม่ได้มีเพียง 4 ข้อนี้เท่านั้น แต่ยังมีรายละเอียดยิบย่อยอีกมากมายที่ก่อนจะเริ่มลงมือทำต้องศึกษาอย่างถ่องแท้เสียก่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรการทำ SEO ก็คุ้มค่ากับการลงทุนลงแรงอย่างแน่นอน เพราะเป็นช่องทางการโฆษณาที่ถูกที่สุดและได้ผลลัพธ์มากที่สุด